
วช. ยกระดับคนไทยสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพใช้สื่อดิจิทัลถ่ายทอดความรู้ หนุนเที่ยวเชิงสุขภาวะ
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2565 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เปลี่ยนผ่านสู่การเป็นสังคมผู้สูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปอย่างสมบูรณ์แล้ว คิดเป็นตัวเลข 11.8 ล้านคน หรือ 17.9 % ของจำนวนประชากรทั้งหมด 66 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่ผ่านมา วช. ให้ความสำคัญอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อต้องการจะเตรียมคนไทยก้าวสู่การเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข เนื่องจากเป็นวัยที่มีเวลาพักผ่อน พร้อมเดินทางไปท่องเที่ยว ซึ่งสอดคล้องกับผลวิจัยเรื่อง “การถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการใช้สื่อดิจิทัลในการสนับสนุนการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะสำหรับผู้สูงอายุ” ของ ดร.ชวาลศักดิ์ เพชรจันทร์ฉาย แห่งมหาวิทยาลัยสวนดุสิต
ดร.ชวาลศักดิ์กล่าวถึงที่มาของการจัดทำงานวิจัยเรื่องนี้ มาจากองค์การสหประชาชาติที่มีการคาดการณ์ว่า ในปี 2593 จะมีจำนวนผู้สูงอายุมากถึง 2,092 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 20% ของประชากรโลก นอกจากนี้องค์กรการท่องเที่ยวโลก (UNWTO) (2020) ได้ประมาณการว่า ภายในปี 2573 ทั่วโลก จะมีนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุมากถึง 611 ล้านคน ซึ่งคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีเวลาท่องเที่ยว และมีศักยภาพในการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าวัยอื่นๆ
จากรายงานของ Global Wellness Institute (2018) ได้ประมาณการว่า การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะ (Wellness tourism) ในปี 2017ที่ผ่านมา มีมูลค่าถึง 639.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มีอัตราการเจริญเติบโตสูงถึงร้อยละ 6.5 ต่อปี ระหว่างปี 2015-2017 สูงเป็นสองเท่าของการท่องเที่ยวทั่วไป สำหรับประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะจำนวนมาก เช่น Chiva-Som International Health Resort อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เรียกได้ว่าการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากเป็นการท่องเที่ยวที่ส่งเสริมทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพใจให้แข็งแรงสมบูรณ์ไปด้วยในตัว ช่วยในการผ่อนคลายความเครียดได้เป็นอย่างดี แต่ในการท่องเที่ยวนั้นผู้สูงอายุจำเป็นต้องสืบค้นข้อมูลที่จะใช้ประกอบการตัดสินใจ ผู้สูงอายุในปัจจุบันก็ได้มีการปรับตัว เพื่อใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิต
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงจำเป็นต้องพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ ให้ได้รับความสะดวกในการใช้งาน และไม่ยากในการเรียนรู้มากเกินไป ทางคณะวิจัยจึงได้ทำการวิจัย 2เรื่อง ได้แก่ เรื่อง “รูปแบบเนื้อหาดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะสำหรับผู้สูงอายุ” และเรื่อง “แบบจำลองการให้คำแนะนำอัจฉริยะสำหรับสนับสนุนการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะด้วยเทคนิคฟัซซีเบลคอลแลบอเรทิฟฟิลเทอริง” ซึ่งจะทำให้มีองค์ความรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะเพียงพอที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ในเบื้องต้น โดยเรื่องที่ถ่ายทอดสู่ชุมชน คือ เรื่ององค์ความรู้ด้านการใช้สื่อดิจิทัลในการสนับสนุนการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะสำหรับผู้สูงอายุ ด้วยการใช้กระบวนการจัดการองค์ความรู้เป็นเครื่องมือช่วยในการถอดองค์ความรู้ และถ่ายทอดองค์ความรู้ต่อในรูปแบบของการจัดทำคู่มือ การฝึกอบรมการใช้งานแอปพลิเคชัน การส่งมอบคู่มือ และการจัดทำแอปพลิเคชันสำหรับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ผลผลิตจากการดำเนินโครงการประกอบด้วย คู่มือการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันอย่างง่าย คู่มือการสืบค้นข้อมูลการท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงอายุ และคู่มือการสร้างงานกราฟิกเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในผู้สูงอายุ
สำหรับผลกระทบเชิงบวกจากงานวิจัยที่สามารถนำไปสู่การต่อยอดในครั้งนี้ คือ ผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย สามารถใช้แอปพลิเคชันเพื่อสืบค้นข้อมูลการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และนำแอปพลิเคชันไปใช้งานจริงเพื่อเข้าใช้บริการในแหล่งบริการที่ส่งเสริมความแข็งแรงของร่างกายและจิตใจ ขณะที่ผู้ประกอบการที่มีเว็บไซต์ให้บริการข้อมูลกับลูกค้า ก็จะก่อให้เกิดผลประกอบธุรกิจในระยะยาว กล่าวคือ ลูกค้าเห็นข้อมูลชัดเจน ถูกต้อง ทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจเข้าใช้บริการได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดผลดีต่อธุรกิจ