
หลายปีมานี้คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยหันไปยึดอาชีพเกษตร หลังจากอิ่มตัวจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน “คุณโชติมา ชุบชูวงศ์” วัย 40 กว่า นักการตลาด ผู้ปั้นแบรนด์มาหลากหลายยี่ห้อ เป็นอีกคนที่อยู่ในข่ายนี้ ปัจจุบันเธอเป็นเกษตรกรเต็มตัว โดยปลูกพืชผักผลไม้นานาชนิดในเนื้อที่10 ไร่ ที่ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งพื้นที่นี้รุ่นปู่ย่าตายายทำเกษตรกันมาแต่ดั้งเดิม โดยปลูกพืชเชิงเดี่ยวตามฤดูกาล อย่างพวกอ้อย มันสำปะหลัง และปลูกน้อยหน้าฝ่าย อันเป็นน้อยหน่าพันธุ์พื้นเมืองของปากช่องด้วย
พอมาถึงยุคของเธอ เน้นปลูกพืชผักผลไม้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทุเรียน เงาะ ลำไย กระท้อน น้อยหน่า ละมุด อโวคาโด้ มัลเบอรี่ หมากเม่า ตะลิงปลิง ฯลฯ ทั้งหมดเป็นเกษตรอินทรีย์ ซึ่งได้เข้าร่วมกับกลุ่มเกษตรอินทรีย์ SDGsPGS และน่าดีใจที่ปีนี้ผลไม้ต่างๆให้ผลผลิตค่อนข้างดี บางส่วนเธอก็แจกและขายด้วย
พืชเด่นของไร่นี้คือว่านหางจระเข้พันธุ์บาบาเดนซิส ที่เธอนำมาแปรรูปเป็นทั้งน้ำผลไม้ และผลิตภัณฑ์เสริมความงาม โดยปลูกประมาณ 5 ไร่ ใช้วิธีปลูกแซมไปกับน้อยหน่าและแก้วมังกร
คุณโชติมาเล่าว่า ก่อนหน้านี้ทำงานบริษัทเอกชนมาตลอด ด้านการตลาดการสร้างแบรนด์ ให้กับสินค้าอุปโภคและเครื่องใช้ไฟฟ้า สาเหตุที่มาทำเกษตรเพราะต้องการมีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเอง อีกทั้งมั่นใจว่าเกษตรกรรมเป็นอาชีพที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด ที่สำคัญต้องการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมองว่าไม่ว่าค่านิยมทางวัตถุจะเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน คนเราก็ต้องกินต้องใช้อยู่ดี ดังนั้นทำอย่างไรจะสร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้ตามความเจริญของเทคโนโลยีให้ทัน นี่คือสิ่งที่ท้าทาย
ส่วนกรณีมาทำเกษตรอินทรีย์นั้น แรงจูงใจมาจากตอนที่ศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธจิตวิทยา ที่มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ได้มีโอกาสทำดุษฎินิพนธ์ เรื่องปัจจัยที่สร้างความสำเร็จให้กับผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ที่เป็นต้นแบบของไทย และมีโอกาสได้สัมภาษณ์ปราชญ์ 30ท่านทั่วประเทศ อย่างเช่นอาจารย์เดชา ศิริภัทร และท่านว.วชิรเมธี ทำให้ได้รับรู้ว่าการทำเกษตรอินทรีย์เท่ากับการให้ และยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ซึ่งเมื่อเริ่มทดลองทำก็แจกจ่ายผลผลิตภัณฑ์ต่างๆในไร่ที่แปรรูปอย่างพวกน้ำผลไม้ต่างๆ และจนถึงบัดนี้ผ่านมา5ปี ชัดเจนว่าการทำเกษตรอินทรีย์ในวิถีแบบชาวพุทธสามารถผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 มาได้ ซึ่งได้ใช้หลักพุทธศาสนาหลายอย่าง กระทั่งได้ค้นพบความสุขแบบใหม่ คือได้อยู่กับธรรมชาติ ได้เปิดใจรู้จักการให้ และเรียนรู้กฎธรรมชาติ ที่มีการเกิดและดับ
เธอว่า การปลูกว่านหางจจระเข้เริ่มจากซื้อต้นพันธุ์มาประมาณ 100 ต้นๆละ 50 บาท จากนั้นปลูกได้ 6 เดือนก็มีหน่อและนำหน่อไปขยายได้อีกจำนวนมาก ตอนนี้ปลูกว่านหางจรเข้นับหมื่นต้น พอปลูกเข้าเดือนที่ 8 สามารถตัดขายและนำไปแปรรูปผสมกับน้ำผลไม้ อย่างเช่นใส่กับน้ำเสาวรส และและน้ำผึ้ง และนำว่านหางจระเข้ไปผสมกับน้ำผึ้ง และกระชาย ขายขวดละ 35 บาท ปรากฎว่าขายดี มีคนสั่งเยอะมาก
นอกจากนี้ยังนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามอย่างเช่นเซรั่มว่านงาช้าง โดยนำมาจากงานวิจัยจากต่างประเทศ ซึ่งว่านชนิดนี้มีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ บำรุงผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าสดใส ลดรอยจุดด่างดำต่างๆ ขายขวดละ 490 บาท ลูกค้าที่ซื้อไปแล้วต่างซื้อซ้ำ
ที่ผ่านมาน้ำผลไม้ของเธอได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยเฉพาะคนรักสุขภาพและผู้ป่วยทั้งหลาย ส่วนหนึ่งเพราะใช้วัตถุดิบจากที่สวนเอง ซึ่งปลูกแบบออร์แกนิก จึงปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค
สำหรับการปลูกต้นวางหางจระเข้แจมกับต้นน้อยหน่านั้น คุณโชติมาแจกแจงว่า ได้ประโยชน์มากเพราะพืชสองชนิดพึ่งพาอาศัยกัน รากของว่านฯไม่ลึกหากินเก่ง อาศัยปุ๋ยมูลไว้เดือนและปุ๋ยมูลวัวที่ให้กับน้อยหน่าที่จะใส่รอบโคนต้น เดือนละ 1 ครั้งหรือสองเดือนครั้ง การดูแลรักษาก็ไม่ยากใช้วิธีพรวนดิน ส่วนวัชพืชที่กำจัดแล้วก็ใช้ทำเป็นปุ๋ยพืชสด รวมทั้งใช้น้ำหมักที่ทางไร่ทำขึ้นเองจากเศษผักผลไม้ที่เหลือจากการแปรรูปนำมาหมักกับกากน้ำตาล อีกอย่างพื้นที่นี้เป็นดินแดงที่มีคุณสมบัติเหมาะในการปลูกพืชผักผลไม้
อย่างที่บอกเธอได้นำผลผลิตในไร่มาแปรรูปทำเป็นน้ำผลไม้ดื่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำว่านหางจระเข้ผสมน้ำเสาวรสสกัดเย็น ว่านหางจระเข้ผสม มัลเบอรี่ หมากเม่า ตะลิงปลิง น้ำอโวคาโดผสมเสาวรสและน้ำผลไม้สกัดเย็นตามฤดูกาลราคาขวดละ 35-50บาท นมอโวคาโดออร์แกนิค และยังขายว่านหางจะเข้สดๆด้วย นอกจากนี้ยังมีสินค้ากลุ่มSkincare ซึ่งผลิตโดยห้องแล็ปที่มีคุณภาพ อย่างเซรั่มว่านงาช้าง สเปรย์บำรุงผิวเติมความสดชื่นว่านหางจระเข้สด ยากันยุงบำรุงผิว ครีมหมักผม แชมพู ครีมนวดที่ทำจากมะกรูด สเปรย์อัญชันป้องกันความร้อนบนเส้นผมและหนังศรีษะช่วยให้ไดร์ผมง่ายป้องกันความร้อนบน หนังศรีษะ
ในเรื่องช่องทางการขายนั้น เธอมีเพจไร่โชตวัน(โทร06-4626639) ผู้สนใจและลูกค้าสามารถเข้าไปชมผลผลิตของไร่ได้ และขายใน Organic market แดรี่โฮม รวมทั้งเปิดขายที่ไร่โชตวันด้วย
นับเป็นเกษตรกรหน้าใหม่อีกรายที่มุ่งมั่นในการทำเกษตรอินทรีย์ และทำแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยผลิตเองและขายเอง ทำให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ที่สำคัญทำให้ลูกค้าได้ใช้-ได้กินผลผลิตที่ดีต่อสุขภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย.
เรื่องโดย : สาวเมืองชล