เรื่องทั้งหมดโดย admin

ม.เกษตรฯกับ กรุงเทพมหานคร ร่วมมือผลิตบัณฑิตแพทย์เสริมทักษะองค์ความรู้ด้านเวชศาสตร์ชุมชน

ม.เกษตรฯกับ กรุงเทพมหานคร
ร่วมมือผลิตบัณฑิตแพทย์เสริมทักษะองค์ความรู้ด้านเวชศาสตร์ชุมชน

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.) ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ ด้านวิชาการ การวิจัย และการบริการวิชาการ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการร่วมพัฒนาบัณฑิตแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ในการแก้ปัญหาความขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ และพัฒนาระบบการจัดการเรียนรู้ด้านแพทยศาสตร์ศึกษาให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย โดยบูรณาการกับการพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข สร้างเสริมสุขภาพของประชาชน เมื่อวันที่ 13 ก.ย. ที่อาคารสารนิเทศ 50 ปี มก. โดยดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมก. มอบหมายให้ รศ.ดร.สมหวัง ขันตยานุวงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาวิทยาศาสตร์สุขภาพและเขตพื้นที่สุพรรณบุรี เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือทางวิชาการ โอกาสนี้ นายชาตรี วัฒนเขจร รองปลัดกรุงเทพมหานคร ให้เกียรติร่วมเป็นสักขีพยาน ผู้ลงนามได้แก่ รศ.พล.อ.ชุมพล เปี่ยมสมบูรณ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มก. นพ.สุนทร สุนทรชาติ ผู้อํานวยการสํานักอนามัย และ นางดวงพร ปิณจีเสคิกุล รองผู้อำนวยการสำนักอนามัย

​ รศ.พล.อ.ชุมพล กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เพื่อการพัฒนาและขับเคลื่อนด้านการสาธารณสุขของประเทศ พัฒนาองค์ความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานของนิสิตคณะแพทยศาสตร์ มก. ตั้งแต่ระดับชั้นปรีคลินิก จนถึงชั้นคลินิก ให้เรียนรู้ในบริบทของชุมชน เขตเมือง และได้เรียนรู้ในบริบทของชุมชนเขตพื้นที่การเกษตร ทั้งฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ทำไร่ทำนา และในส่วนของฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นพื้นที่แปลงผัก ไม้ดอก ไม้ประดับ สวนผลไม้ และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ นอกจากนี้ นิสิตแพทย์ยังได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์จริงกับผู้ป่วยในชุมชน ทั้งการสังเกตและตรวจรักษาผู้ป่วยนอก

พร้อมทั้งร่วมทำวิจัยอย่างใกล้ชิด ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักอนามัยและศูนย์บริการสาธารณสุข กรุงเทพมหานครหลักสูตรคณะแพทยศาสตร์ มก. มีอัตลักษณ์ด้านเวชศาสตร์การเกษตรและชีวนวัตกรรม นิสิตต้องสัมผัสพื้นที่จริงในกรุงเทพมหานคร เราสำรวจแล้วว่าในเขตปริมณฑลของกรุงเทพมหานคร ฝั่งตะวันออก มีนบุรี ลาดกระบัง คลองสามวา จะมีพื้นที่ของการเกษตรอยู่ โดยเฉพาะการทำนา ประชาชนยังมีอาชีพเกษตรกรรมอยู่ ส่วนฝั่งตะวันตก บางขุนเทียน บางบอน ประชาชนก็ยังทำการเกษตร ได้แก่การปลูกพืชไร่ พืชสวน ฟาร์มสัตว์น้ำ ซึ่งเหมาะสำหรับนิสิตที่จะไปหาประสบการณ์โดยตรง ในบริบทของวิทยาศาสตร์การเกษตรไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมอาหาร แล้วก็โรค โดยเฉพาะโรคสัตว์สู่คนซึ่งมาจากระหว่างการทำเกษตรกรรม แล้วก็เป็นการปูพื้นฐานนิสิตจะเข้าฝึกในพื้นที่และเตรียมงานวิจัย จะอยู่ในชั้นปีที่ 3 เพราะฉะนั้นเมื่อขึ้นชั้นปีที่ 4 , 5, 6 ก็จะมีพื้นฐานและทักษะในการออกพื้นที่ ซึ่งเรามีศูนย์แพทย์ที่ให้ความร่วมมืออยู่ 2 ศูนย์ คือที่จ.สุพรรณบุรีแล้วก็ที่จ.สกลนคร นิสิตก็จะมีความรู้พื้นฐานไปต่อยอดในการลงพื้นที่ของศูนย์แพทย์ได้ต่อไป

​นอกจากนี้การเรียนรู้ในศาสตร์ของเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ มก. ก็จะสอนให้นิสิตทำงานวิจัยเกี่ยวกับชุมชนนอกจากการออกพื้นที่ในในเขตรอบนอกของกรุงเทพมหานครแล้ว ก็จะให้ความรู้ในการพัฒนาชุมชนรอบมหาวิทยาลัยลัยหรือว่าชุมชนในเมือง เพราะว่าโรคจะต่างกันในในเมืองก็อาจจะเป็นโรคที่พบกันบ่อยเช่นโรคNCDs ส่วนในเขตเกษตรกรรมเกษตรก็จะเป็นโรคที่เกิดจากการประกอบเกษตรกรรม


​ด้าน นพ.สุนทร กล่าวว่า สำนักอนามัยต้องการเสริมสร้างความร่วมมือในการร่วมพัฒนาบัณฑิตแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขในการแก้ไขปัญหาความขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ และเพื่อพัฒนาความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาการและการวิจัย การส่งเสริมการดูแลสุขภาพประชาชนในกรุงเทพมหานคร จึงมีความยินดีและพร้อมสนับสนุนการเพิ่มพูนองค์ความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานการบริการสุขภาพในบริบทการแพทย์ปฐมภูมิ ซึ่งเป็นด่านแรกของการดูแลผู้ป่วยและประชาชนในลักษณะองค์รวม ครอบคลุมทั้งการรักษาพยาบาล การป้องกันโรคการส่งเสริมสุขภาพ และการฟื้นฟูสภาพร่างกาย ตลอดจนครอบคลุมการให้บริการในสถานพยาบาลและดูแลสุขภาพประชาชนในชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมย์ของการผลิตบัณฑิตแพทย์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่มุ่งเน้นให้มีทักษะและองค์ความรู้ในการปฏิบัติงาน การบริการ พัฒนาชุมชนพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้เพิ่มศักยภาพการดูแลสุขภาพประชาชนที่สอดคล้องกับบริบทในพื้นที่มากยิ่งขึ้น

“จากการที่หารือร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เรามีพื้นที่เป้าหมายใน 3 ลักษณะ ลักษณะแรกก็คือเป็นพื้นที่ชุมชนเมือง ในเขตบางเขนกับเขตจตุจักรซึ่งจะอยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย และเป็นโซนที่ประชาชนประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น มีนบุรี ลาดกระบัง คลองสามวา หนองจอก อีกส่วนหนึ่งก็จะเป็นเกษตรกรรมประเภทประมง เช่น ทางฝั่งธนฯ สวนผลไม้ ตลิ่งชัน ทวีวัฒนา บางขุนเทียนต่างๆ ซึ่งในบริบทเหล่านี้ก็จะมีสภาพปัญหาทางด้านสุขภาพและการแพทย์ที่อาจจะมีความแตกต่างกันเพราะฉะนั้นในส่วนเหล่านี้เราก็เตรียมศูนย์บริการสาธารณสุขให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของนิสิตของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพื่อฝึกฝนด้านการแพทย์ชุมชนต่อไป”

​รศ.ดร.สมหวัง กล่าวว่า มก.ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนด้านแพทยศาสตรศึกษาให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย โดยบูรณาการร่วมกับการพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข การสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน และการพัฒนาความ
ร่วมมือกับหน่วยงานและองค์กร ความร่วมมือในครั้งนี้นิสิตแพทย์ของ มก. จะได้ไปเรียนรู้ระบบการให้บริการทางสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นองค์ความรู้และประสบการณ์ที่จำเป็นสำหรับนิสิตแพทย์ทุกคนที่จะใช้ในการประกอบอาชีพในอนาคต ในครั้งนี้เป็นการเป็นก้าวแรกของการร่วมมือกันระหว่ากรุงเทพมหานครกับมก.

จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในอนาคตอันใกล้เราจะขยายความร่วมมือไปยังคณะอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ เช่น คณะพยาบาลศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะเทคนิคการสัตวแพทยศาสตร์ และคณะต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น คณะเภสัชศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์

​นายชาตรี กล่าวถึงนโยบายด้านสาธารณสุขในภาพรวมว่า นโยบายขับเคลื่อนการพัฒนาด้านการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานครนั้นมุ่งหวังให้ประชาชนมีสุขภาพดี ด้วยการยกระดับบริการที่เชื่อมโยงไร้รอยต่อตั้งแต่ระดับเส้นเลือดฝอยให้เข้มแข็งเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพที่หลากหลายช่องทาง พัฒนาศักยภาพศูนย์บริการสาธารณสุข เพิ่มจำนวนศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ และศูนย์เวชศาสตร์เขตเมืองให้ครอบคลุมภายใต้การพัฒนานวัตกรรมการรักษาพยาบาลและเทคโนโลยีสุขภาพที่ทันสมัย ตลอดจน
มีการส่งเสริมกิจกรรมสุขภาพสำหรับคนทุกกลุ่ม เพื่อลดภาวะการเจ็บป่วยและสร้างสุขภาพดีถ้วนหน้าของประชาชน ให้มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งทางสุขภาพกาย สุขภาพจิต และสุขภาพทางสังคม

หนึ่งในการพัฒนาด้านสาธารณสุขของกรุงเทพมหานครที่สำคัญคือ การพัฒนาบริการตั้งแต่ระดับเส้นเส้นเลือดฝอยหรือการสร้างระบบสุขภาพปฐมภูมิที่มีความเข้มแข็ง เพื่อให้ด่านแรกของการบริการด้านสาธารณสุขที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ มีความพร้อมและมีคุณภาพ การส่งเสริมและพัฒนาให้หน่วยบริการปฐมภูมิมีความเข้มแข็ง ต้องมีการดำเนินงานที่ร่วมมือกันในหลายภาคส่วนและร่วมมือกันเป็นเครือข่ายทั้งในด้านวิชาการและการลงมือปฏิบัติ

0 Shares

วัดตาลเจ็ดยอด รับนโยบายการท่องเที่ยวของพ่อเมืองประจวบฯ จัดพิธีจุดเทียนมนต์อักขระแห่งองค์ท้าวเวสสุวรรณ พร้อมห่มผ้าบวงสรวงสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)

วัดตาลเจ็ดยอด รับนโยบายการท่องเที่ยวของพ่อเมืองประจวบฯ จัดพิธีจุดเทียนมนต์อักขระแห่งองค์ท้าวเวสสุวรรณ พร้อมห่มผ้าบวงสรวงสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)

พุทธศาสนิกชนกว่า 1000 คนแห่ร่วมจุดเทียนอักขระปู่ท้าวเวชสุวรรณ – ห่มผ้าบวงสรวงสมเด็จพุทธจารย์(โต)พรหมรังสี เพื่อหลีกเคราะห์ หนุนดวง เบิกทรัพย์ ปัดเป่าโรคภัย เน้นความเป็นสิริมงคลต่อชีวิต
เมื่อเร็วๆนี้ วัดตาลเจ็ดยอด ต.ศาลาลอย อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้จัดงานพิธีมงคลให้กับพุทธศาสนิกชน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ พิธีห่มผ้าและบวงสรวงสมเด็จพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี องค์ใหณ่ที่สุดและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด พร้อมจัดพิธีจุดเทียนมนต์อักขะแห่งองค์ท้าวเวสสุวรรณ เพื่อหนุนดวงเสริมบารมี ปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปจากชีวิต โดยมี สมคิด จันทมฤก ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส หลวงพ่อพระมหาจำนงค์ เจ้าอาวาสวัดตาลเจ็ดยอด เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยพิธีจุดเทียนครั้งนี้ อาจารย์โอ๊ก แอดไทม์( อาจารย์จักรพงศ์ ภู่ทอง ) เป็นผู้ประกอบพิธี และส.จ.คชาภา โพธิรัชต์ เป็นผู้ดำเนินงานในพิธี

ในงานพิธีครั้งนี้ยังมีนายวรวุฒิ จิรประภานน นายอำเภอสามร้อยยอด นายปทาน พูนสวัสดิ์ ประธานกลุ่มตักบาตรเพ็ญพุทธประจวบคีรีขันธ์ พล.ต.กรพงศ์ แสงทอง รองผู้อำนวยการศูนย์ประสาน การปฎิบัติที่หนึ่งกอ.รมน. นายสราวุธ ลิ้มอรุณรัตน์ นายกอบจ. ประจวบฯกฤษณา แผ่แสงจันทร์ วัฒนธรรมจ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยส่วนราชการและพุทธศาสนิกชนจากพื้นที่ต่างๆเข้าร่วมพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลมากกว่า 1000 คน

ในพิธีมีอาจารย์โอ๊ก เป็นเจ้าพิธีในการบวงสรวง ขอพรบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดเจ็ดยอดทุกพระองค์พร้อมกับห่มผ้าจีวรสมเด็จพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี เพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นพิธีจุดเทียนอักขระขององค์ปู่ท้าวเวสสุวรรณเพื่อหนุนดวงเสริมบารมีปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไปจากชีวิต โดยผู้เข้าพิธีทุกคนจะต้องเขียนสลักชื่อของตนไว้ในเล่มเทียนก่อนจะประกอบพิธีบูชาจุดเทียนอธิษฐานจิตฝึกสมาธิและขอพรเพื่อสังเกตดูน้ำตาเทียมของผู้ร่วมพิธีทุกคนว่า แต่ละคนมีลักษณะน้ำตาเทียนเป็นอย่างไรและตอนเทียนหมดแล้วเป็นอย่างไร หากความหมายของน้ำตาเทียมหรือตอนเทียนไหม้หมดแล้วออกมาในทางที่ไม่ดี ผู้ทำพิธีจะมีวิธีแก้ให้เพื่อให้ความเป็นสิริมงคลต่อไป

นายสมคิด เปิดเผยว่า ประจวบคีรีขันธ์เป็นจังหวัดที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว เจตนาคือทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยชาวต่างชาติ เข้ามาที่จ.ประจวบคีรีขันธ์เพื่อมาพักผ่อน และใช้จ่ายของในจ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีจุดเด่นหลากหลาย ที่เป็นเรื่องของการท่องเที่ยว สำหรับวัดตาลเจ็ดยอด ประชาชนทั้งจ.ประจวบคีรีขันธ์เองรวมทั้งชาวไทยที่อยู่ในจังหวัดอื่นต่างมีความเคารพและศรัทธา จึงกลายเป็นแหล่งดึงดูดที่สำคัญในการท่องเที่ยวหา ที่อ.สามร้อยยอดยังมีส่วนที่เป็นทะเลและภูเขา และยังมีหมู่บ้านรักษาศีล5 หมู่บ้านคุณธรรม ที่ได้รับรางวัลดีเด่นในระดับจังหวัด ถึง ในระดับของภาคด้วย ดังนั้น เวลานักท่องเที่ยวมาที่นี่นอกจากมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอพรแล้ว จะได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมที่เป็นของมีชาติพันธุ์ไทยด้วย จึงขอเรียนเชิญให้ทุกๆท่านได้มาเที่ยวและมากราบสักการะที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จ.ประจวบคีรีขันธ์

ส.จ.คชาภา โพธิรัชต์ เขตอ.สามร้อยยอด จ.ประจวบฯ (ผู้ดำเนินงานจัดทำพิธีครั้งนี้) เปิดเผยว่า ยันต์เทียนเป็นของพิเศษสำหรับคนมีวิชา และยากที่จะสื่อสารให้ถึงใจคนและช่วยให้พ้นเคราะห์ได้ หากเจ้าพิธีไม่มีใจที่บริสุทธิ์ สำหรับอาจารย์โอ๊ก เชื่อได้สนิทใจว่าอาจารย์มีคุณสมบัตินี้ และดีใจที่มีลูกบ้านหลายคนมีชีวิตที่ดีขึ้น และอยากติดตามไปอีกหลายๆที่ที่จะมีพิธีนี้อีก เพราะการสวดยันต์เทียนเป็นจุดตั้งต้นให้คนเข้าถึงการภาวนาแบบเร่งรัดและได้โบนัสพิเศษจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการล้างขยะในจิตใจเราออกเพื่อให้พร้อมรับสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต ยันต์เทียนจึงเป็นทางด่วนของคนที่มีศรัทธา และเป็นความโชคดีที่เราได้เจออาจารย์ทำพิธีถูก นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

นายปทาน พูนสวัสดิ์ (ประธานกลุ่มเพ็ญพุธ จ.ประจวบฯ) เปิดเผยว่า การจัดงานในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัด อยากให้ทางวัดมีการประกอบพิธีใหญ่สักครั้งหลังจากที่ที่ผ่านมา เกิดสถานการณ์โรคระบาด โควิด-19 ทำให้ประชาชนเข้าวัดน้อยลง ประกอบกับปัญหาทางเศรษฐกิจทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความลำบากไม่คล่องตัวในชีวิต จึงอยากให้มีพิธีนี้ขึ้นเพื่อเสริมดวงเสริมบารมีสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านตาลเจ็ดยอดและจ.ประจวบคีรีขันธ์พร้อมทั้งให้พุทธศาสนิกชนทุกคนที่เข้าร่วมพิธีได้ร่วมกันจุดเทียนอักขระบูชาปู่ท้าวเวชสุวรรณเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วหนุนดวงเสริมบารมีให้กับชีวิต

0 Shares

รองปลัด อว.และคณะลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในพื้นที่จ.เชียงราย

รองปลัด อว.และคณะลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในพื้นที่จ.เชียงราย

นำอาหารและน้ำดื่ม สิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นมอบศูนย์พักพิงชั่วคราว มรภ.เชียงราย บ้านปางลาว บ้านป่ากุก และ อบต.แม่ข้าวต้ม เผย “ศุภมาส” รมว.กระทรวง อว.ห่วงใยพี่น้องประชาชน สั่งระดมช่วยเต็มที่ ชู มรภ.เชียงราย ต้นแบบบริหารจัดการในภาวะวิกฤติดีเยี่ยม

เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง อว. นางพจมาน ท่าจีน รองอธิบดี วศ. และคณะทำงานฝ่ายบรรเทาภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม “อว.เพื่อประชาชน” ได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ จ.เชียงราย

จุดแรกได้เดินทางไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มหาวิทยาลัยราชภัฎ(มรภ.)เชียงราย โดยนำน้ำดื่ม 12,564 ขวด ถุงยังชีพ 689 ชุด ข้าวพร้อมทาน 640 ชุด แกงมัสมั่นพร้อมทาน 48 ชุด ข้าวสาร 1,306 ชุด น้ำนมงาขาว/งาดำ 1,080 กล่อง ชุดอาหารแห้งและยา 60 ชุด ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร 276 กระป๋อง เวย์โปรตีน 300 ผลิตภัณฑ์โอเลี้ยง/ชาดำ 120 ขวด ขนมแลแปลากระปิอง 381 แพ็ค ที่นอนยางพารา 11 ผืน ผลิตภัณฑ์กันยุง 837 ชิ้น เจลแอลกอฮอล์ 100 ขวด MTV-Wash 100 ขวด น้ำอิเล็คโตรไลซ์สำหรับฆ่าเชื้อ 200 แกลลอน ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อชนิดเข้มข้น 120 ขวด หน้ากากอนามัย 5,000 ชิ้น ไปมอบให้ศูนย์ฯ ดังกล่าว เพื่อแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชน จากนั้น ได้เดินทางไปเยี่ยมประชาชนที่ประสบภัย ที่บ้านปางลาว บ้านป่ากุก และ อบต.แม่ข้าวต้ม เพื่อนำถุงยังชีพ ยาและเวชภัณฑ์ และข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นไปมอบให้

ศ.ดร.ศุภชัย กล่าวว่า น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.กระทรวง อว.มอบหมายให้ตนและคณะลงพื้นที่ เนื่องจากมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนใน จ.เชียงราย ที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วม และได้สั่งระดมความช่วยเหลือจากทุกหน่วยงานในกระทรวง อว.และประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายและภาคส่วนต่างๆ รวบรวมสิ่งของบริจาคทั้งเครื่องอุปโภค บริโภค ยาและเวชภัณฑ์ ของใช้ที่จำเป็น ฯลฯ ส่งมาให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อน พร้อมกับมอบหมายให้เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจและสนับสนุนการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยขณะนี้ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว มรภ.เชียงราย มีผู้ที่ได้รับผลกระทบมาพักอาศัยเป็นจำนวนกว่า 1,000 คน ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้จัดระบบการดูแลและบริหารจัดการเป็นอย่างดี ถือเป็นโมเดลต้นแบบสำหรับสถาบันอุดมศึกษาอื่นๆ ในการจัดระบบบริหารจัดการเพื่อรองรับและดูแลพี่น้องประชาชนในสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากนี้จะมีการถอดบทเรียนให้สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่อื่นๆ ได้เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบภัยได้อย่างเป็นระบบต่อไป

0 Shares

สอศ.จัดใหญ่! เปิดหลักสูตร ‘R Smart Leader’ สร้างผู้บริหารมืออาชีพ

สอศ.จัดใหญ่! เปิดหลักสูตร ‘R Smart Leader’ สร้างผู้บริหารมืออาชีพ

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ “ผู้บริหารยุคใหม่ R Smart Leader มืออาชีพ” ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-13 ก.ย. ที่โรงแรมประสานสุข วิลล่า บีช รีสอร์ท จ.นครศรีธรรมราช โดยมีศูนย์ประชาสัมพันธ์และเสริมสร้างภาพลักษณ์อาชีวศึกษาร่วมกับวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานีเป็นผู้ดำเนินการจัดการอบรม สำหรับการอบรมในครั้งนี้มี ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์และเสริมสร้างภาพลักษณ์อาชีวศึกษา และผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษา 45 คน เข้าร่วม

นายสิริพงศ์ กล่าวในพิธีเปิดว่า การอบรมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษา ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการอาชีวศึกษาไทย และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเรียนสายอาชีพให้กับสังคม ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกระทรวงศึกษาธิการในการยกระดับคุณภาพการศึกษาสายอาชีพ และการเตรียมความพร้อมให้กับผู้บริหารสถานศึกษาในการรับมือกับความท้าทายในยุคดิจิทัล ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาการศึกษาและการผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต นอกจากนี้ ยังมุ่งหวังให้ผู้เข้าร่วมอบรมสามารถเป็นผู้ผลิตข้อมูลข่าวสารและสื่อในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความน่าเชื่อถือ อันจะนำมาสู่ภาพลักษณ์ที่ดีของอาชีวะอย่างยั่งยืน และพร้อมเป็นผู้บริหาร R Smart Leader มืออาชีพอย่างมีคุณภาพและประสบความสำเร็จ

ดร.นิรุตต์ กล่าวว่า การอบรมครั้งนี้จัดขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้การนำของพลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการศธ. ซึ่งมีการขับเคลื่อนงานพัฒนาอาชีวศึกษา 8 วาระ โดยวาระที่ 8 คือการเสริมสร้างภาพลักษณ์อาชีวศึกษา วัตถุประสงค์ของการอบรมคือ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้รับองค์ความรู้และแนวทางด้านการประชาสัมพันธ์ ได้รับการพัฒนาทักษะ ความรอบรู้ สมรรถนะ กระบวนการคิดและการนำเสนอ ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ รวมถึงการรู้เท่าทันสื่อ การรู้ทันข่าวปลอม การมีจริยธรรม การรู้เท่าทันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับหน่วยงาน

การอบรมครั้งนี้ได้รับความอนุเคราะห์จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน ได้แก่ พันตำรวจเอกกิตติศักดิ์ เที่ยงกมล รองผู้บังคับการช่วยราชการกองบังคับการสืบสวนสอบสวนอาชญกรรมทางเทคโนโลยี 1 กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญกรรมทางเทคโนโลยี ให้ความรู้ด้านข่าวสารไซเบอร์และการรับมือข่าวเท็จ ดร.นันท์วิสิทธิ์ ตั้งแสงประทีป อาจารย์ประจำหลักสูตรการสร้างสรรค์คอนเทนต์และสื่อ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ที่จะมาสร้างความรู้เรื่องการสร้างตัวตนและการนำเสนอ วิทยากรพิเศษที่เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดัง พ่อมด TikTok ที่จะมาให้ความรู้และเทคนิคด้านการตัดต่อ การถ่ายภาพ และการผลิตคอนเทนต์ โดยมีเนื้อหาการอบรมครอบคลุมหัวข้อสำคัญ เช่น กระบวนการเรียนรู้การใช้งานสื่อโซเชียลมีเดีย การสร้างเนื้อหาในการนำเสนอและออกแบบองค์กรยุคใหม่ การสร้างพื้นที่ปลอดภัย การรับมือและรู้เท่าทันข่าว รวมถึงการถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ

0 Shares

กรมประมง แชร์วิธีแปรรูปผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมจากก้างปลาหมอคางดำแบบง่าย

กรมประมง แชร์วิธีแปรรูปผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมจากก้างปลาหมอคางดำแบบง่าย

เน้นทำได้ในครัวเรือน เพื่อลดเศษเหลือทิ้งสู่ธรรมชาติ พร้อมสร้างมูลค่าจากการพัฒนางานวิจัย

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า จากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567 – 2570 พร้อมยกเป็นวาระแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ซึ่งประกอบด้วย 7 มาตรการ ซึ่งที่ผ่านมากรมประมงได้ให้ความสำคัญและเร่งดำเนินการในทุกมาตรการอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำให้คลี่คลายโดยเร็ว โดยเฉพาะมาตรการที่ 3 และมาตรการที่ 6 ซึ่งได้มอบหมายให้นักวิจัยของกรมประมงเร่งหาแนวทางการแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากปลาหมอคางดำที่ถูกกำจัดไปใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของตัวปลา โดยเฉพาะส่วนก้างที่ใหญ่และมีความแข็ง ไม่สามารถรับประทานโดยการปรุงเป็นเมนูอาหารแบบทั่วไปได้ อีกทั้งเพื่อไม่ก่อให้เกิดเศษเหลือทิ้งที่อาจส่งผลกระทบต่อธรรมชาติในอนาคต

นางพิชญา ชัยนาค ผู้อำนายการกองวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ กล่าวให้รายละเอียดว่า ปลาหมอคางดำมีส่วนที่เป็นเนื้อที่สามารถนำมาบริโภคได้โดยตรง ประมาณร้อยละ 30-35 ซึ่งปัจจุบันทางกองฯ ได้แปรรูปเป็นเมนูอาหารทั้งแบบพร้อมบริโภค พร้อมปรุง และขนมขบเคี้ยวได้หลากหลาย โดยในกระบวนการแปรรูปเหล่านี้ยังมีเศษเหลือทิ้งอื่น ๆ เช่น หัว ไส้ เครื่องใน ครีบ และก้างปลา ซึ่งล่าสุดคณะผู้วิจัยจากคณะการแพทย์บูรณาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร. ธัญบุรี) ได้คิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากก้างปลาหมอคางดำ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพให้กับผู้บริโภค และช่วยลดปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ โดยจากแนวคิดที่ว่าปลาชนิดนี้มีแคลเซียมและสารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ หากพัฒนากระบวนการสกัดแคลเซียมด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพและไม่ทำลายคุณค่าทางโภชนาการของปลา จะทำให้สารดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ ซึ่งอาจดีกว่าแคลเซียมจากแหล่งอื่น เช่นเดียวกับนักวิจัยของกองฯ ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญถึงแนวทางการนำก้างปลาไปสกัดแคลเซียม จึงได้พัฒนาวิธีสกัดแคลเซียมผงด้วยวิธีการที่ไม่ซับซ้อน เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนทั่วไปสามารถแปรรูปได้อย่างง่ายในครัวเรือน รวมถึงส่งเสริมให้กลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก และขนาดกลางนำไปต่อยอดการผลิตสู่เชิงพาณิชย์ต่อไป โดยใช้กระบวนการให้ความร้อนในน้ำเดือดนาน 1 ชั่วโมง

จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดเพื่อแยกส่วนเนื้อออกแล้วนำไปอบแห้งที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส และบดให้ละเอียดด้วยเครื่องบด ซึ่งผลการศึกษาพบว่า สามารถผลิตผงแคลเซียมได้ประมาณร้อยละ 20–25 จากเศษก้างปลาที่นำมาสกัด ทั้งนี้ ปัจจุบันกรมประมงได้นำมาทดลองใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ เช่น ปั้นขลิบเสริมแคลเซียม ครองแครงเสริมแคลเซียม ข้าวเกรียบปลาเสริมแคลเซียม และปลาบดแผ่นเสริมแคลเซียม ซึ่งสามารถเพิ่มคุณค่าทางอาหารได้เป็นอย่างดี


อธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า ในระยะต่อไปภายใต้แผนปฏิบัติการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ปี พ.ศ. 2567 – 2570 กรมประมงจะเร่งต่อยอดคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากส่วนเศษเหลือทิ้งอื่น ๆ เพื่อเป็นทางเลือกในการใช้ประโยชน์จากปลาหมอคางดำให้ได้มากที่สุด ตามมาตรการที่ 3 และมาตรการที่ 6 เพื่อใช้เป็นอาหารเสริม หรือสารเสริมอาหารสำหรับการบริโภค รวมทั้งเป็นส่วนผสมของขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์พร้อมบริโภคต่าง ๆ
ทั้งนี้ สำหรับประชาชนและผู้ประกอบการที่สนใจ สามารถศึกษาวิธีการแปรรูปและกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์จากปลาหมอคางดำของกรมประมงได้ผ่านช่องทางเว็บไซต์

https://www4.fisheries.go.th/industry และ Facebook Page : กองวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ กรมประมง ในรูปแบบ E-book และ Infographic รวมทั้งสามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมผ่านช่องทางโทรศัพท์ โทร 02 940 6130 – 45 ต่อ 4320 และ 4213

0 Shares

กระทรวง อว.ห่วงพี่น้องประชาชน “ศุภมาส” ปล่อยขบวนรถนำสิ่งของไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.เชียงราย

กระทรวง อว.ห่วงพี่น้องประชาชน “ศุภมาส” ปล่อยขบวนรถนำสิ่งของไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.เชียงราย

พร้อมนำความช่วยเหลือลงไปในทุกพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อน ผู้มีจิตศรัทธานำสิ่งของมาบริจาคได้ที่ศูนย์ปฎิบัติการ “อว เพื่อประชาชน” ชั้น 7 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว.

เมื่อวันที่ 13 ก.ย. น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้เดินทางเข้ากระทรวง อว. เพื่อปฏิบัติภารกิจในการปล่อยรถนำสิ่งของเพื่อไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาคเหนือ พื้นที่ จ.เชียงราย ภายใต้ศูนย์ปฎิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม “อว. เพื่อประชาชน” โดยมี นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษา รมว.อว. น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว. และผู้บริหารกระทรวง อว. เข้าร่วม ที่บริเวณด้านหน้าอาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว. บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีหน่วยงานต่างๆ นำสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นมาร่วมขบวนเพื่อนำไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชน

น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า ตนมีความเป็นห่วงสถานการณ์น้ำท่วมและเป็นห่วงพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จึงได้ระดมสรรพกำลังจากทุกหน่วยงานในกระทรวง อว. ภาคีเครือข่ายและภาคส่วนต่างๆ ในการนำสิ่งของอุปโภค บริโภค ยา เวชภัณฑ์ ตลอดจนเครื่องใช้ที่จำเป็นไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ อ.แม่สาย และ อ.เมือง จ.เชียงราย รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบ โดยให้ อว.ส่วนหน้า จ.เชียงราย ไปดำเนินการแจกจ่ายให้ถึงมือประชาชนโดยเร็วที่สุดและจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ

รมว.อว. กล่าวต่อว่า การให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม กระทรวง อว. ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มเกิดอุทกภัยเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยตนได้สั่งการให้ผู้บริหารกระทรวง อว. ลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนที่ จ.สุโขทัย โดยประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพโดรนเพื่อการบินสำรวจในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก และโดรนลำเลียงสิ่งของทั้งยา เวชภัณฑ์ อาหาร เครื่องอุปโภค~บริโภค เป็นต้น พร้อมเปิดแอพแจ้งเตือนภัยเพื่อเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำ ตลอดจนเปิดพื้นที่ของมหาวิทยาลัยให้เป็นศูนย์บรรเทาและพักพิงให้ผู้ได้รับผลกระทบ ครั้งนี้ก็เช่นกันที่กระทรวง อว.จะนำความช่วยเหลือไปถึงมือพี่น้องประชาชนใน จ.เชียงราย และในพื้นที่อื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ โดยศูนย์ปฎิบัติการสถานการณ์น้ำท่วมของ อว.จะทำงานอย่างต่อเนื่อง และพร้อมนำความช่วยเหลือลงไปในทุกพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งหากผู้ใดมีจิตศรัทธาสามารถติดต่อนำสิ่งของมาบริจาคได้ที่ ศูนย์ปฎิบัติการสถานการณ์ “อว เพื่อประชาชน ” ชั้น 7 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว.

0 Shares

วว. เพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสุขภาพ

วว. เพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย
พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสุขภาพ

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) มุ่งเน้นนำสมุนไพรไทยมาวิจัยและพัฒนาสกัดสารสำคัญ ทั้งที่อยู่ในรูปแบบขององค์ความรู้และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่หลากหลายชนิด ผ่านการดำเนินงานวิจัยและพัฒนา โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร วว. ดังนี้ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพรไทยป้องกันโรคตับ วิจัยและพัฒนาจากสารสกัดพืชสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่ พริกไทย ผักบุ้ง และขมิ้นชัน พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ด ที่ออกฤทธิ์ในการป้องกันโรคตับจากสารเคมีและพิษจากแอลกอฮอล์

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระจากขมิ้นชัน มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสียหายต่อสุขภาพ เช่น การอักเสบของเซลล์และการทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ช่วยชะลอความเสื่อมชราหรือการแก่ของเซลล์และการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ

ผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการนอนหลับและบรรเทาอาการกรนด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรูไซเร็น มีส่วนประกอบสารสกัดจากผลลำใยที่สกัดด้วยเอทานอล มีประสิทธิภาพยับยั้งอนุมูลอิสระ ส่งเสริมให้นอนหลับได้ดี นานขึ้น และลดอาการนอนกรนได้ หลังจากรับประทานทุกวันในเวลา 1 สัปดาห์
ผลิตภัณฑ์นาโนเซรั่มบำรุงผิวหน้าเพื่อชะลอริ้วรอยแห่งวัยจากสารสกัดใบบัวบก มีประสิทธิภาพช่วยลดริ้วรอยแห่งวัย และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังหลังจากทดสอบเป็นระยะเวลา 48 ชั่วโมง

ผลิตภัณฑ์นาโนแฮร์โทนิคจากสารสกัดดอกคำฝอย โดยใช้เทคโนโลยีไมโครอิมัลชันของสาร Safflomin A ในสารสกัดดอกคำฝอย เพื่อกระตุ้นการงอกของเส้นผมและลดการเกิดผมร่วง

ผลิตภัณฑ์เจลลิ่งเพื่อลดรอยแตกลายผิวหนังหน้าท้องด้วยสารสกัดเพปไทด์จากแพะ และเซรั่มที่มีส่วนผสมของสารสกัดเห็ด กักเก็บในระบบนำส่งสารแบบไฟโตโซม เพื่อยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ

ผลิตภัณฑ์เจลสูตรลูกประคบ อยู่ในรูปแบบของเจล พัฒนาจากน้ำมันหอมระเหยสมุนไพรที่ใช้ในลูกประคบ เช่น ไพล ขมิ้นชัน มะกรูด ตะไคร้ เป็นต้น มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการปวดเมื่อย ปวดบวมจากกล้ามเนื้ออักเสบ เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ เช่นเดียวกับการประคบด้วยลูกประคบสมุนไพร

ผลิตภัณฑ์จากไพล ประกอบด้วย 1) ชุดสปา (โคลนพอกหน้า สครับสำหรับขัดผิวหน้าและตัว) ช่วยให้เซลล์แข็งแรง 2) ยาทาภายนอกแก้ฟกบวม ประกอบด้วย ชนิดลูกกลิ้ง และเจลไพลบาล์ม ช่วยต้านอาการอักเสบ ฟกบวม 3) รักษาสิว ช่วยรักษาสิว ลดอาการอักเสบ บวม 4) ผงสมุนไพร…อบตัว ประกอบด้วย สมุนไพรไพล ขมิ้น มะกรูด ตะไคร้ พิมเสน การบูร ใช้อบไอน้ำในตู้สมุนไพรหรือซาวน่า ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ บำรุงผิวพรรณ 5) ไพลจีนิค เป็นผลิตภัณฑ์แผ่นผ้าอนามัยเช็ดทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นภายนอกสำหรับสตรี มีผลช่วยยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อโรคสตรี 6) น้ำยาเช็ดพื้น สำหรับทำความสะอาดช่วยให้ปลอดเชื้อโรค และ 7) ไพลซิดัล ช่วยกำจัดเห็บ หมัด สำหรับสุนัข ได้ 100% ภายใน 30-60 นาที ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์แชมพู สเปรย์ และโลชั่น
วว. พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์จากสารสกัดสมุนไพรสู่เชิงพาณิชย์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ โทร. 0 2577 9000 หรือที่ “วว. JUMP”

0 Shares

สวธ.แจ้งการบำเพ็ญกุศล บุญ“ฉลอง ภักดีวิจิตร” ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ผู้สร้างตำนานระเบิดภูเขา-เผากระท่อม

สวธ.แจ้งการบำเพ็ญกุศล บุญ“ฉลอง ภักดีวิจิตร” ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงผู้สร้างตำนานระเบิดภูเขา-เผากระท่อม

นายประสพ เรียงเงิน อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) เปิดเผยว่า นายบุญฉลอง ภักดีวิจิตร ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ผู้กำกับ–ผู้สร้างภาพยนตร์และละครโทรทัศน์) พุทธศักราช ๒๕๕๖ ได้ถึงแก่กรรมอย่างสงบ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๓ ก.ย. สิริอายุ ๙๓ ปี ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เวลาประมาณ ๑๕.๓๐ น. โดยนางบุญจิรา ตรีริยะ (ภักดีวิจิตร) บุตรสาวแจ้งว่า ขณะนี้กำลังรอผลการวินิจฉัยการถึงแก่กรรมอย่างเป็นทางการ ซึ่งสวธ. จะแจ้งกำหนดการพิธีรดน้ำศพ และกำหนดการสวดพระอภิธรรม ในลำดับต่อไป เมื่อทราบข้อมูลจากทายาทแล้ว

อธิบดีสวธ. เปิดเผยอีกว่า สวธ. ในฐานะหน่วยงานที่ดำเนินการยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินแห่งชาติ เผยแพร่ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว ในกรณีศิลปินแห่งชาติเสียชีวิต จะได้รับสวัสดิการช่วยเหลือตามกฎกระทรวงกำหนดสาขา คุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือก และประโยชน์ตอบแทนของศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ดังนี้ มอบเงินช่วยเหลือเมื่อเสียชีวิตเพื่อร่วมการบำเพ็ญกุศลศพ จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท ค่าเครื่องเคารพศพ ๓,๐๐๐ บาท และค่าจัดทำหนังสือเพื่อเผยแพร่ผลงานเมื่อเสียชีวิตเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท ด้วย

สำหรับประวัติของ นายบุญฉลอง ภักดีวิจิตร หรือ นายฉลอง ภักดีวิจิตร ปัจจุบันอายุ ๙๓ ปี เกิดเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๔ ที่กรุงเทพมหานคร บิดาชื่อ นายพุฒ ภักดีวิจิตร อาชีพรับราชการ มารดาชื่อ นางลิ้นจี่ ภักดีวิจิตร เป็นแม่บ้าน สำเร็จการศึกษาระดับเตรียมอุดมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนอำนวยศิลป์

​นายฉลอง เข้าสู่วงการภาพยนตร์โดยได้แรงบันดาลใจจากบิดาเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ และคุณอาเป็นผู้ถ่ายภาพและกำกับการแสดง เข้ามาอยู่ในสายเลือดโดยอัตโนมัติ ด้วยวัยเพียง ๑๙ ปี ได้ก้าวเข้ามาเป็นช่างถ่ายภาพยนตร์ ถ่ายภาพยนตร์เรื่องแรก เรื่องแสนแสบ จากบทประพันธ์ของไม้เมืองเดิม หลังจากนั้น ได้ศึกษาขบวนการทำภาพยนตร์และเทคนิคต่าง ๆ ด้วยตนเอง จากหนังสือคู่มือรวบรวมขบวนการถ่ายทำของประเทศสหรัฐอเมริกา พัฒนาการถ่ายทำภาพยนตร์มาเป็นลำดับ ไม่เคยหยุดนิ่ง จนประสบความสำเร็จสูงสุดด้านการถ่ายทำภาพยนตร์ ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองพระราชทาน พระสุรัสวดี ถึงสองปีซ้อน ในฐานะช่างถ่ายภาพยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่องผู้พิชิตมัจจุราชและละอองดาว จากประสบการณ์ที่ถ่ายทำภาพยนตร์มาเป็นเวลาหลายปี จึงได้เปลี่ยนมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์และผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ โดยกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก คือ เรื่องจ้าวอินทรีย์ นำแสดงโดย มิตร ชัยบัญชา และพิสมัย วิไลศักดิ์ ต่อมาได้สร้างสรรค์ผลงานมากมาย ผลงานที่สร้างชื่อเสียง เช่น สอยดาวสาวเดือน ฝนใต้ ฝนเหนือ ทอง ขบวนการพยัคฆ์ร้าย ตัดเหลี่ยมเพชร เป็นต้น

​อาฉลอง เป็นผู้มีความมุ่งมั่นที่จะนำภาพยนตร์ไทยเข้าสู่ตลาดภาพยนตร์นานาชาติ โดยนำดาราต่างประเทศมาร่วมนำแสดงจนประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับในวงการภาพยนตร์ทั่วโลก ได้เข้าทำเนียบผู้กำกับภาพยนตร์นานาชาติในนามของ P.CHALONG ฉลอง ภักดีวิจิตร ให้ความสำคัญต่อการสร้างภาพยนตร์ในทุกรายละเอียด มีจินตนาการ กล้าคิด กล้าทำ และกล้าที่จะลงทุนทำให้ภาพยนตร์ เรื่อง ทอง คือ ตำนานของผู้กำกับอย่างฉลอง ภักดีวิจิตร

ต่อมาได้ผันตัวเองมาทำงานบุกเบิกละครแนวบู๊ทางโทรทัศน์ มีผลงานที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาจนถึงปัจจุบัน
​อาฉลอง สร้างชื่อเสียงในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ มีผลงานถ่ายภาพยนตร์ สร้างภาพยนตร์ และกำกับภาพยนตร์มากมายเป็นเวลากว่า ๖๓ ปี และยังได้สร้างบุคลากรที่มีคุณภาพให้แก่วงการภาพยนตร์ไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้ได้รับรางวัลมากมาย เช่น รางวัลเป๋าติง จากภาพยนตร์เรื่อง ทอง ในฐานะภาพยนตร์ที่ให้ความบันเทิงสูงสุด จากประเทศไต้หวัน รางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ ในฐานะผู้ประสพความสำเร็จในชีวิตการสร้างภาพยนตร์ จากสมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ รางวัลเกียรติยศ ปูชนียบุคคลแห่งวงการบันเทิง จากสตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ด เป็นต้น

ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ผู้กำกับ–ผู้สร้างภาพยนตร์และละครโทรทัศน์) พุทธศักราช ๒๕๕๖

0 Shares

ที่สุดแห่งปี Pixel One รับรางวัล CEATIVE VISION จาก CTC CREATIVE BUSINESS AWARDS 2024

ที่สุดแห่งปี Pixel One รับรางวัล CEATIVE VISION
จาก CTC CREATIVE BUSINESS AWARDS 2024

พิกเซลวัน อีเว้นท์ เอเจนซี่ (Pixel One Event Agency) โดยน.ส.พรพิมล มณีวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง พิกเซลวัน อีเว้นท์ เอเจนซี่ เข้ารับรางวัล Creative Vision ในงานประกาศรางวัลธุรกิจสร้างสรรค์แห่งปีอย่าง CTC Creative Business Awards 2024 สำหรับธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้วยความคิดสร้างสรรค์ และสร้างสิ่งดี ๆ ให้แก่สังคมในประเทศไทย ที่งานประกาศรางวัลซึ่งจัดขึ้น ณ True Digital Park Grand Hall เมื่อเร็ว ๆ นี้

สำหรับรางวัล Creative Vision เป็นรางวัลสำหรับบุคคลหรือองค์กรตัวอย่างที่ได้รับการคัดเลือกและเล็งเห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ที่สามารถนำจุดเด่นมาขับเคลื่อนการทำงาน ผลักดันธุรกิจ ผ่านการนำความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีล้ำสมัยมาต่อยอดจนสร้างความต่างที่ยกระดับภาพรวมในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับการทำงานของ พิกเซลวัน ที่นำเทคโนโลยีล้ำสมัยและความคิดสร้างสรรค์มาประยุกต์เพื่อสร้างอีเว้นท์แบบครบวงจรที่น่าจดจำและมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าและผู้เข้าร่วมงาน

0 Shares

ว.นานาชาติอิสลามกรุงเทพ ม.เกริก จัดประชุมวิชาการนานาชาติ แลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างวัฒนธรรมมุ่งรวมความหลากหลายให้เป็นหนึ่ง

ว.นานาชาติอิสลามกรุงเทพ ม.เกริก จัดประชุมวิชาการนานาชาติ แลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างวัฒนธรรมมุ่งรวมความหลากหลายให้เป็นหนึ่ง

วิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ โดย สำนักงานการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยเกริก ร่วมกับ สถาบันวะสะฏียะฮ์เพื่อสันติภาพและการพัฒนา สำนักจุฬาราชมนตรี สมาพันธ์ศิษย์เก่าอัล-อัซฮัรโลก สาขาประเทศไทย ศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสมาคมมหาวิทยาลัยมุสลิมแห่งเอเชีย ร่วมจัดการประชุมวิชาการระดับนานาชาติครั้งที่ 2 หัวข้อ “การอยู่ร่วมกันของชนกลุ่มน้อยมุสลิมในกลุ่มประเทศ Non-Muslim States ในเอเชีย: เอกภาพ สันติภาพ การเคารพ และความเข้าใจซึ่งกันและกัน” ที่มหาวิทยาลัยเกริก เมื่อวันที่ 11 ก.ย.

โดยได้รับเกียรติจากท่านเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ประจำประเทศไทย ฮาละฮ์ ยูซุฟ อะห์มัด เราะญับ (H.E. Mrs. Hala Youssef Ahmed Ragab) เป็นประธานในการเปิดการประชุม โดยมี ผู้แทนระดับสูงจากสถานเอกอัครราชทูตปากีสถาน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ลาว กาตาร์ อิหร่าน และญี่ปุ่น ตลอดจนนักวิชาการจามหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศกว่า 20 สถาบัน รวมกว่า 200 คนเข้าร่วมงานดังกล่าว

ทั้งนี้ ผศ.ดร.อับดุลเลาะ หนุ่มสุข ผู้ทรงคุณวุฒิจากจุฬาราชมนตรี ได้กล่าวปาฐกถานำพร้อมทั้ง กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการจัดประชุม ฯ ในครั้งนี้มี 2 ประการ คือ รวบรวมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ มานำเสนอบทความ ผลงานทางวิชาการเรื่องการอยู่ร่วมกันของมุสลิมที่เป็นชนกลุ่มน้อยในอุษาคเนย์ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บรูไน สหพันธรัฐมาเลเซีย สาธารณรัฐสิงคโปร์ เป็นต้น ว่าการดำรงอยู่ของพี่น้องมุสลิมที่เป็นส่วนน้อยในประเทศต่าง ๆ ดำรงอยู่กันอย่างไร อีกทั้งระดมความคิดเห็น แลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูลต่าง ๆ ทำความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันของแต่ละประเทศ ซึ่งบทความ ข้อคิดเห็นที่นำมาประชุมในระดับนานาชาติครั้งนี้จะมีคุณค่าเพื่อการตีพิมพ์สู่สาธารณชนต่อไป

“อีกประการที่สำคัญ คือ ได้เผยแพร่ภาพการให้ความสำคัญต่อประชากรมุสลิมที่เป็นชนกลุ่มน้อย ผ่านการประชุมระดับนานาชาติ โดยวิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ ม.เกริก เราได้เห็นความร่วมมือของพี่น้องมุสลิมจากหลากหลายประเทศ รวมถึงผู้แทนจากสถานทูตสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน รัฐกาตาร์ สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน สหพันธรัฐมาเลเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ให้เกียรติมาร่วมในพิธีเปิดวันนี้ เพื่อแสวงหาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติภาพในสังคมพหุวัฒนธรรม (Multicultural Society) ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย มีความแตกต่างกันทางด้านภาษา การแต่งกาย ศาสนา สังคม ประเพณี วัฒนธรรม ว่าการอยู่ในสังคมพหุวัฒนธรรมในเชิงบวก โดยเฉพาะในอุษาคเนย์จะกระทำได้อย่างไร มีประโยชน์มากมายเพียงใด” ผศ. ดร.อับดุลเลาะ กล่าว

ด้าน ศ.ดร.นพ. กระแส ชนะวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกริก กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมีความมุ่งมั่นผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าทางการศึกษา ขยายขอบเขตการศึกษา พัฒนาองค์ความรู้ให้นักศึกษาเพื่อนำไปสู่การใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ รวมทั้งมีความตั้งใจสนับสนุนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างประเทศที่มีความแตกต่างทางด้านภาษา ศาสนา วัฒนธรรม เพื่อพัฒนาศักยภาพให้นักศึกษามีความรู้ ความเข้าใจในสังคมที่มีความหลากหลายและพร้อมจะอยู่ร่วมกัน ซึ่งมหาวิทยาลัยได้ก่อตั้งวิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ ม.เกริก ในปี พ.ศ.2564 เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรในด้านต่าง ๆ เช่น วัฒนธรรม การเงินอิสลาม การเมือง และการศึกษาอิสลาม

“ล่าสุด มหาวิทยาลัยได้สนับสนุนการสนทนาระดับนานาชาติ จัดประชุมวิชาการระดับนานาชาติ ครั้งที่ 2 ผ่านการขับเคลื่อนของวิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ ภายใต้หัวข้อการอยู่ร่วมกันของชนกลุ่มน้อยมุสลิมของกลุ่ม Non-Muslim States ในเอเชีย เอกภาพ สันติภาพ การเคารพ และความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยได้เชิญคณะนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงจากทั้งในและต่างประเทศมาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของพลังนักวิชาการจากเอเชียที่จะส่งเสริมความเข้าใจระหว่างความหลากหลายทางวัฒนธรรม
นับเป็นอีกก้าวสำคัญของ ม.เกริก ในการพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการและแลกเปลี่ยนมุมมองให้ครอบคลุมหลายมิติ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อีกทั้งเป็นความพยายามที่จะนำความร่มเย็นสู่สังคมอีกทางหนึ่ง” อธิการบดี ม.เกริก กล่าว

ศ.ดร.จรัญ มะลูลีม คณบดีวิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ กล่าวว่า การจัดประชุมระดับวิชาการนานาชาติ ครั้งที่ 2 นี้ นับเป็นหนึ่งในความร่วมมือทางด้านวิชาการระหว่างมหาวิทยาลัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับวิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ ม.เกริก เพื่อขยายขอบฟ้าแห่งการเรียนรู้ให้กว้างขึ้น และได้รับความสนใจจากนักวิชาการหลากหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมาชิกจากสมาคมมหาวิทยาลัยมุสลิมเอเชียซึ่งมีสมาชิกมากกว่า 80 มหาวิทยาลัย สื่อมวลชน และที่สำคัญคือเอกอัครราชทูตดังที่ผู้ทรงคุณวุฒิจากจุฬาราชมนตรีได้นำเรียนข้างต้น ร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น บทความทางวิชาการระหว่างกันถึงการอยู่ร่วมกันของชนกลุ่มน้อยในประเทศมุสลิม มาเข้าร่วมกว่า 300 ท่าน

ปัจจุบัน ม.เกริก มีนักศึกษาจากสาธารณรัฐประชาชนจีนมากกว่า 5,000 คน นักศึกษามุสลิมไม่ต่ำกว่า 300 คน และเริ่มมีนักศึกษาจากประเทศทางแถบแอฟริกา เช่น สหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรีย สาธารณรัฐยูกันดา อีกทั้งจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สหพันธ์สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยเนปาล และอื่น ๆ เข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัย เราจึงต้องการขยายขอบเขตการศึกษา โดยเน้นหนักในหัวข้อของการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลาย แสวงหาความรู้ร่วมกัน เกิดความเข้าใจ มีความสุข และก่อเกิดสันติภาพไปพร้อมกันให้กับเยาวชนไทยและเยาวชนที่มาจากประเทศอื่น

ศ.ดร.จรัญ กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า วิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ มีหลักการพื้นฐานการเรียนการบริหารธุรกิจอิสลาม เช่น การเงินอิสลาม การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ สินค้าฮาลาล ที่ทำรายได้ในแต่ละปีให้ประเทศไทยนับแสนล้านบาท อีกทั้งปัจจุบันมีธนาคารอิสลามอยู่ทั่วโลก ผลิตนักวิชาการเพื่อรองรับความหลากหลายนี้ เพื่อจะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าในการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างโลกอิสลามกับประเทศไทยในที่สุด

0 Shares