คลังเก็บหมวดหมู่: สุขภาพ-ความงาม

รพ.วิมุต คว้ารางวัลใหญ่ระดับสากลจากเวที Asian Technology Excellence Awards 2024

รพ.วิมุต คว้ารางวัลใหญ่ระดับสากลจากเวที Asian Technology Excellence Awards 2024

ในสาขา Radiology Imaging และ IT ตอกย้ำพันธกิจยกระดับการรักษาและสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อสร้างสังคมไทยสุขภาพดีอย่างทั่วถึง

โรงพยาบาล(รพ.)วิมุต รพ.เอกชนชั้นนำใจกลางกรุงเทพฯ คว้ารางวัลใหญ่จากเวทีประกาศรางวัลด้านเทคโนโลยีประจำภูมิภาคเอเชีย Asian Technology Excellence Awards 2024 ใน 2 สาขา ได้แก่ สาขา Radiology Imaging ซึ่งยกย่องการคิดค้นเทคนิคการถ่ายภาพเอกซเรย์ข้อสะโพกแบบใหม่ของ รพ. วิมุต ที่ชื่อว่า “ViMUT Model X-ray HIP Lateral Cross Table Positioning” และสาขา IT จากความสำเร็จของการพัฒนา ViMUT App แพลตฟอร์มสุขภาพที่ครอบคลุมทุกมิติของบริการในเครือข่ายของโรงพยาบาลวิมุต รางวัล Asian Technology Excellence Awards จัดขึ้นโดย Asian Business Review นิตยสารธุรกิจชั้นนำของเอเชียเพื่อยกย่องโครงการและนวัตกรรมที่โดดเด่น ซึ่งพิจารณาจากเอกลักษณ์ของนวัตกรรม ประสิทธิผล และผลกระทบในเชิงบวกต่ออุตสาหกรรม โดยพิธีมอบรางวัลประจำปีนี้จัดขึ้นที่โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ โดยมีน.ส.สุรวีย์ ชัยธํารงค์กูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รพ.วิมุต โฮลดิ้ง จำกัด เป็นตัวแทนผู้บริหารรับมอบ 2 รางวัลอันทรงเกียรติ

น.ส.สุรวีย์ กล่าวว่า “รางวัลอันทรงเกียรติในทั้ง 2 สาขาจากเวทีด้านนวัตกรรมระดับสากลอย่าง Asian Technology Excellence Awards นับเป็นบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นตั้งใจของทีมแพทย์และบุคลากรทุกคนที่ รพ. วิมุต ในการสร้างอีโคซิสเต็มด้านเฮลท์แคร์ที่แข็งแกร่ง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้คนในสังคมอย่างต่อเนื่องผ่านการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการนำเสนอบริการรูปแบบใหม่ ๆ ที่เข้ามาเสริมประสิทธิภาพการรักษา ตลอดจนเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้บริการทุกคนในอนาคต เราจะยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนบริการเฮลท์แคร์แบบองค์รวมที่ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกันโรคไปจนถึงการฟื้นฟูหลังป่วยเพื่อสร้างสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนต่อไป”

ผลงานโดดเด่นที่ทำให้ รพ. วิมุต คว้ารางวัลในสาขา Radiology Imaging คือการคิดค้นเทคนิคการถ่ายภาพเอกซเรย์ข้อสะโพกแบบใหม่ที่ชื่อว่า “ViMUT Model X-ray HIP Lateral Cross Table Positioning” ซึ่ง ศูนย์เอกซเรย์ รพ. วิมุต ได้พัฒนาขึ้นเพื่อทำให้ภาพเอกซเรย์กระดูกข้อสะโพกมีความคมชัด จึงลดอัตราการถ่ายเอกซเรย์ซ้ำจาก 45% เหลือเพียง 4% ซึ่งอยู่ในมาตรฐานระดับสากล นับเป็นแนวทางที่มุ่งเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ป่วยการจากลดปริมาณรังสีที่ผู้รับบริการได้รับได้ถึง 93% นอกจากนี้ การจัดท่าเอกซเรย์แบบใหม่ ยังช่วยลดระยะเวลาเอกซเรย์ลงถึง 50% สะท้อนความมุ่งมั่นของทีมแพทย์ในการพัฒนากระบวนการทำงานเพื่อความสะดวก ความแม่นยำในการวินิจฉัยอาการ และเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้รับบริการ

สำหรับรางวัลในสาขา IT ทางเวที Asian Technology Excellence Awards ได้ยกย่องความสำเร็จของ ViMUT App ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสุขภาพที่ครอบคลุมทุกมิติการบริการของเครือข่ายของ รพ. วิมุต ตั้งแต่การทำนัดหมายเลือกพบแพทย์ผู้ชำนาญการที่ีพ. การเข้ารับการรักษา จนถึงการติดตามผลการรักษา ด้วยบริการ Telemedicine หรือการพบแพทย์ออนไลน์ผ่านแอป ก็ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็วทุกที่ทุกเวลา สอดคล้องกับเทรนด์ยุคดิจิทัลในปัจจุบัน โดยแอป ViMUT App เริ่มเปิดใช้งานเมื่อปี 2021 มีผู้ใช้งานอยู่กว่า 52% ของผู้ใช้บริการทั้งหมด 148,000 คน และมียอดการใช้งานรวมกว่า 150,000 ครั้ง โดยมีแนวโน้มที่ผู้เข้ารับการรักษาจะใช้ ViMUT App มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยฟีเจอร์ที่ครบครัน ใช้งานง่าย และสามารถเชื่อมต่อบริการและประวัติการรักษาจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ได้อย่างไร้รอยต่อ

ติดตามข่าวสารจากรพ.วิมุต ได้ที่เว็บไซต์ www.vimut.com และโซเชียลมีเดียบน Facebook: facebook.com/vimuthospital และ Instagram @vimut_hospital สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อรพ.ได้ที่ โทร. 02-079-0000

0 Shares

ฟิลิปส์ เผยผลสำรวจด้านเฮลท์แคร์ประจำปี Philips Future Health Index 2024

ฟิลิปส์ เผยผลสำรวจด้านเฮลท์แคร์ประจำปี Philips Future Health Index 2024

ชี้เทรนด์เทคโนโลยี AI และ DATA มาแรงในกลุ่มผู้นำด้านเฮลท์แคร์ในเอเชียแปซิฟิก หวังยกระดับการดูแลรักษาผู้ป่วย

71% ของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในเอเชียแปซิฟิกชี้ว่าความล่าช้าในการดูแลรักษาผู้ป่วยมาจากปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์

93% บอกว่าพบอุปสรรคอย่างน้อย 1 อย่างในการเชื่อมต่อข้อมูลจากหลายแหล่งมารวมกัน แต่พวกเขายังคงเห็นความสำคัญของการเชื่อมต่อข้อมูลว่ามีประโยชน์ต่อการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วย

เทคโนโลยี AI ถูกนำมาใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจทางคลีนิกมากขึ้น โดย 62% มีแผนที่จะลงทุนเพิ่มด้าน AI ภายใน 3 ปีข้างหน้า

รอยัล ฟิลิปส์ (NYSE: PHG, AEX: PHIA) ผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพระดับโลก ได้เผยผลสำรวจด้านเฮลท์แคร์ระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดเป็นปีที่ 9 ติดต่อกันกับรายงาน Philips Future Health Index (FHI) 2024 ในหัวข้อ “Better care for more people” โดยได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์กว่า 3,000 คน จาก 14 ประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย
เนเธอแลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น โดยพบว่าผู้นำในวงการเฮลท์แคร์มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานผ่านการจัดลำดับความสำคัญของกระบวนการทำงาน
การเชื่อมต่อข้อมูล (Data) และการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อช่วยยกระดับการดูแลรักษาผู้ป่วย รับมือกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ความท้าทายด้านการเงิน และความต้องการรับบริการด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้น

ดร. มาร์ค เบอร์บี รองประธานกลุ่มธุรกิจ Health Systems ฟิลิปส์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “ปัญหาผู้ป่วยต้องรอนานเพื่อเข้ารับบริการด้านสาธารณสุขและปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลรักษาได้อย่างทันท่วงทีและเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ยาก ดังนั้น เราจึงเห็นผู้นำในวงการเฮลท์แคร์พยายามที่จะพัฒนาและเปลี่ยนแปลง เพื่อส่งมอบบริการและการดูแลรักษาที่ดีขึ้นให้กับผู้คนได้มากขึ้น โดยเฉพาะความพยายามที่จะเอาชนะอุปสรรคในการเชื่อมต่อข้อมูล และก้าวไปสู่อีกขั้นในการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น”

การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และความท้าทายด้านการเงิน เป็นปัญหาเร่งด่วนต่อการให้บริการผู้ป่วยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

71% ของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกังวลเกี่ยวกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ที่ส่งผลต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยที่ล่าช้า นอกจากนี้ 92% ของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ยังชี้ให้เห็นว่าความท้าทายด้านการเงินส่งผลกระทบต่อความสามารถขององค์กรในการดูแลผู้ป่วยทั้งในด้านเวลาและคุณภาพ และ 59% บอกว่าพวกเขากำลังปรับปรุงประสิทธิภาพ
การดำเนินงานขององค์กร โดยคำนึงถึงกลยุทธ์ทางด้านการเงินควบคู่กัน

การบริหารจัดการผู้ป่วยจำนวนมากโดยไม่ลดทอนคุณภาพการบริการ จำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญของในกระบวนการทำงาน ซึ่งการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้จะเป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดผลกระทบจากการขาดแคลนบุคลากรได้ จากการสำรวจพบว่าเกือบครึ่งหนึ่ง (45%) ของผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการทำงานแล้ว

A diagram of data integration

Description automatically generated

ศักยภาพของการเชื่อมต่อข้อมูลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วย

ผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเล็งเห็นถึงโอกาสในการยกระดับการดูแลรักษาผู้ป่วย ด้วยศักยภาพของการเชื่อมต่อข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อช่วยจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยไว้ในที่เดียว โดยพวกเขาเชื่อว่าการนำข้อมูลเชิงลึกมาจัดเก็บและประมวลผลจะช่วยในการวางแผนหรือหาแนวทางการดูแลที่เหมาะสมได้ (36%), สามารถระบุแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิผลได้ (36%), สามารถประเมินและบริหารจัดการความต้องการของผู้ป่วยได้ (36%), สามารถพยากรณ์และลดความเสี่ยงของอาการที่แย่ลงในผู้ป่วยได้ (33%), และสามารถลดเวลารอคอยในการตรวจวินิจฉัยและกระบวนการดูแลได้อย่างเหมาะสม (31%)

 

อย่างไรก็ตาม 93% ของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกบอกว่าพวกเขาพบอุปสรรคในการเชื่อมต่อข้อมูลอย่างน้อย 1 อย่างเมื่อนำมาประยุกต์ใช้จริง ซึ่งส่งผลต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย
ทั้งด้านเวลาและคุณภาพ ได้แก่ เพิ่มความเสี่ยงของการดูแลรักษาที่ผิดพลาด ความปลอดภัยและ/หรือคุณภาพของการดูแลผู้ป่วยที่ลดลง (36%), มีข้อจำกัดในการประสานงานระหว่างผู้ให้บริการ/หรือภายในแผนกต่างๆ (33%), ต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการขาดประสิทธิภาพ (32%), ต้องใช้เวลาในการเข้าถึง/รวมข้อมูล ทำให้มีเวลาน้อยลงในการดูแลผู้ป่วย (31%), ขาดโอกาสในการดูแลเชิงป้องกันหรือการรับการรักษาที่รวดเร็ว (31%)

แต่ผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในเอเชียแปซิฟิก ยังเห็นว่าหากสามารถเชื่อมต่อข้อมูลได้สำเร็จจะมีศักยภาพและประโยชน์ต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยมากที่สุด โดย 67% เห็นว่าคุณภาพของข้อมูล
มีความสำคัญที่สุด พวกเขาระบุว่าความแม่นยำของข้อมูล (36%), การปรับปรุงด้านความปลอดภัย/ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (34%), การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตัวผู้ป่วยเอง (34%) และการทำงานร่วมกันระหว่างแพลตฟอร์ม/สถานบริการสาธารณสุข (31%) เป็นส่วนที่ควรได้รับการพัฒนาเมื่อมีการจัดการด้านข้อมูล

การนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางคลินิก และความสนใจด้านGenerative AI ที่มากขึ้น

ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ต่างเห็นว่าการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ในภูมิภาคประสบความสำเร็จ จากการนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางคลินิกเพิ่มมากขึ้น จากผลสำรวจพบว่ามีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้สนับสนุนทางคลินิกและวางแผนที่จะนำไปใช้ในหลายๆ ด้านภายใน 3 ปีข้างหน้า ได้แก่ ด้านการดูแลเชิงป้องกัน (91%), ด้านการบริหารจัดการยา (90%), ด้านระบบติดตามผู้ป่วยในโรงพยาบาล (89%), ด้านการวางแผนการรักษา (89%),
ด้านระบบติดตามผู้ป่วยระยะไกลหรือแบบรีโมท (87%), ด้านระบบในศูนย์สั่งการทางคลินิก (83%), ด้านรังสีวิทยา (79%) และด้านพยาธิวิทยา (79%)

 

ขั้นต่อไปของเทคโนโลยี คือ การนำ Generative AI มาใช้ โดยผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเล็งเห็นถึงประโยชน์ของอัลกอริทึม AI ที่สามารถใช้ในการทำคอนเทนท์ต่างๆ
ตามคำสั่งที่ป้อนเข้าไป อาทิ ข้อความ รูปภาพ หรือข้อมูล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยเพื่อแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ จากข้อมูลของผู้ป่วย โดย 36% ของผู้นำ
ในวงการเฮลท์แคร์ในเอเชียแปซิฟิกลงทุนในเทคโนโลยี Generative AI และ 62% มีแผนที่จะลงทุนในเทคโนโลยีนี้ภายใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งความสนใจด้าน Generative AI ของผู้นำด้านเฮลท์แคร์ในเอเชียแปซิฟิกมากกว่าผู้นำด้านเฮลท์แคร์ทั่วโลกที่ปัจจุบันลงทุนอยู่ 29% และมีแผนที่จะลงทุนภายใน 3 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 56%

 

ถึงแม้ว่าจะมีความตื่นตัวด้านเทคโนโลยี AI เป็นวงกว้าง แต่ 95% ของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในเอเชียแปซิฟิกยังมีความกังวลเกี่ยวกับความแม่นยำของข้อมูลในแอปพลิเคชันที่ใช้ AI เนื่องจากอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ทางสุขภาพ ดังนั้น พวกเขาจึงระบุว่าเทคโนโลยี AI ต้องถูกนำไปใช้อย่างมีความรับผิดชอบเพื่อป้องกันความผิดพลาด โดยกลยุทธ์ในการลดความเสี่ยงของความผิดพลาดทางข้อมูล คือ ความโปร่งใสและความเข้าใจด้าน AI สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ (45%), การทำให้บุคลากรมีความมั่นใจในข้อมูลและเทคโนโลยี AI (43%), มีการฝึกอบรมและให้ความรู้อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับ AI (40%) และมีการกำหนดนโยบายสำหรับการใช้ข้อมูลและ AI อย่างมีจริยธรรม (39%) ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้จะสามารถทำได้ผ่านการทำงานร่วมกันในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

“อนาคตของการดูแลรักษาผู้ป่วยที่ดีขึ้นสำหรับผู้คนที่มากขึ้น จะสำเร็จได้ผ่านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อของข้อมูลและการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อสนับสนุนการทำงานทางคลินิก ปรับปรุงกระบวนการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้ให้บริการสาธารณสุข ฟิลิปส์ เราได้นำประโยชน์ของเทคโนโลยี AI และเทคโนโลยีข้อมูลสารสนเทศ ผสานกับการทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อสร้างนวัตกรรมทั้งในกลุ่ม Imaging, Interventional และ Monitoring ให้ล้ำหน้าเหนือความต้องการเหล่านี้” ดร.เบอร์บี กล่าวเสริม

นอกจากนี้ ฟิลิปส์ ยังได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรในเอเชียแปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็น ผู้ให้บริการสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ คู่ค้า ตัวแทนจำหน่าย เพื่อสร้างความร่วมมือในระยะยาวและแนวทางดำเนินธุรกิจและบริการใหม่ๆ ส่งเสริมความสำคัญของบริการหลังการขายและการอัพเกรด เพื่อสร้างนวัตกรรมและแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน รวมถึงส่งเสริมการฝึกอบรมและการให้ความรู้ ซึ่งจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จทางดิจิทัลในระยะยาว มากไปกว่านั้น ฟิลิปส์ยังได้นำเสนอโซลูชั่นส์ทั้งด้านระบบ, ซอฟต์แวร์, เครื่องมือแพทย์, และบริการที่ครบวงจร เพื่อตอบโจทย์และรับมือกับความท้าทายที่ผู้ให้บริการสาธารณสุขต้องเผชิญ และช่วยปลดล็อกศักยภาพในการนำเทคโนโลยีทางดิจิทัลมาใช้ได้อย่างเต็มที่

0 Shares

แผลเล็กแค่ไหนก็เสี่ยง! “โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน” อันตรายที่มากับแผลไม่สะอาด ไม่รีบรักษาอาจพิการหรือเสียชีวิต

แผลเล็กแค่ไหนก็เสี่ยง! “โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน” อันตรายที่มากับแผลไม่สะอาด
ไม่รีบรักษาอาจพิการหรือเสียชีวิต

เชื่อว่าหลาย ๆ คนเวลามีบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างรอยถลอก แมลงกัด มีดบาด หรือแผลจากของมีคม ก็คงไม่ได้รู้สึกกังวลและดูแลอะไรเป็นพิเศษ ด้วยคิดว่าปล่อยไว้ไม่นานก็คงหายเอง แต่จริง ๆ แล้วการไม่ดูแลแผลให้สะอาด อาจทำให้เชื้อโรคเข้าไปในแผลจนเกิดอาการปวด บวมแดง และเกิดความผิดปกติรอบบาดแผล ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายของ “โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน” ภาวะที่เนื้อเยื่ออ่อนมีการติดเชื้อรุนแรง และถ้าไม่รีบรักษา ก็อาจโชคร้ายจนถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือดและเสียชีวิตได้ วันนี้ นพ.รัชตะ ฉัตราติชาต หัวหน้าศูนย์ศัลยกรรม รพ.วิมุต จะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน เราจะได้เข้าใจว่าการดูแลแผลอย่างถูกวิธีสำคัญแค่ไหน

“โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน” อันตรายที่มากับแผลสกปรก

โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน (Necrotizing Fasciitis) เป็นภาวะติดเชื้อรุนแรงในเนื้อเยื่ออ่อน เกิดในบริเวณผิวหนังกำพร้า ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง และกล้ามเนื้อ มักพบในแผลเปิด ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย นพ.รัชตะ ฉัตราติชาต อธิบายต่อว่า “เชื้อที่ทำให้เกิดภาวะแบคทีเรียกินเนื้อคนแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม เชื้อโรคผสม (Mixed Organisms) เป็นกลุ่มที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดพร้อมกัน มักพบในแผลทั่วไปที่สัมผัสกับสิ่งสกปรก กลุ่มต่อมาคือ Streptococcus ชนิด A ที่เกิดได้จาก เชื้อ Species Streptococcus หรือ Staphylococcus พบรองลงมาจากกลุ่มแรก ลุกลามเร็วและมีอาการรุนแรงกว่า ที่พบได้ทั่วไปบนผิวหนัง มักเกิดจากหัตถการที่ไม่สะอาด เช่น การเจาะเลือด การฉีดยา รวมถึงการฉีดยาของกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด กลุ่มสุดท้ายคือ Gas Gangrene พบในแผลที่มีเนื้อตายอยู่ก่อน เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่สร้างสามารถแก๊ส เมื่อคลำที่แผลจะรู้สึกถึงฟองอากาศคล้ายบับเบิ้ลกันกระแทก”

แผลปวดร้อน-บวมแดง รีบพบแพทย์

การติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคนเกิดได้กับทุกคน โดยมีความเสี่ยงจากการไม่รักษาความสะอาดของแผลให้ดี ซึ่งอาการจะรุนแรงขึ้นในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไตวายเรื้อรัง ภาวะตับแข็ง โรคอ้วน และผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วย HIV หรือคนไข้ที่ได้รับยากดภูมิ “อาการเริ่มต้นของโรคคือการปวด บวมแดง หรือร้อนบริเวณบาดแผล บางคนอาจมีลักษณะผิดปกติบริเวณบาดแผล ผิวหนังมีสีดำคล้ำ มีเนื้อตาย มีหนองปริมาณมาก มีตุ่มน้ำ มีอาการพอง หากติดเชื้อแล้วไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เกิดอาการรุนแรง เริ่มมีไข้สูง ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย ตัวเย็น มึนงง ซึมลง และช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด นำไปสู่การสูญเสียอวัยวะหรือเสียชีวิตได้” นพ.รัชตะ ฉัตราติชาต อธิบายเสริม

“โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน” ยิ่งปล่อยไว้ยิ่งอันตราย

การติดเชื้อที่ผิวหนังไม่ได้นำไปสู่ภาวะแบคทีเรียกินเนื้อคนเสมอไปแต่หากเป็นแผลก็ควรรักษาความสะอาดให้ดีเพื่อป้องกันการติดเชื้อ โดยแนะนำให้ใช้น้ำเกลือ 1-2 ลิตร หรือน้ำดื่มเพื่อทำความสะอาด และไม่ควรใช้น้ำประปา หากดูแลแผลเบื้องต้นแล้วยังปวด บวมแดง หรือพบลักษณะผิดปกติที่เข้าข่ายภาวะแบคทีเรียกินเนื้อคน ควรรีบมาพบแพทย์ทันที นพ.รัชตะ ฉัตราติชาต เล่าถึงการรักษาว่า “การวินิจฉัยโรคนี้มีหลายวิธี ซึ่งวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดคือการตรวจบริเวณบาดแผล หากยังไม่ชัดเจน แพทย์อาจตรวจเพิ่มเติมด้วยการผ่าตัดกรีดขยายบริเวณบาดแผล ใช้การตรวจพิเศษ MRI, CT Scan, หรือ X-Ray เพื่อตรวจดูชั้นเนื้อเยื่ออย่างละเอียด ส่วนการรักษา แพทย์จะพิจารณาตามอาการ มีตั้งแต่การใช้ยาฆ่าเชื้อ ผ่าตัดระบายหนองและของเหลว ผ่าตัดเนื้อเยื่อที่ตายออก ในกรณีที่เนื้อตายลุกลามไปยังอวัยวะอื่นอาจต้องตัดอวัยวะที่ติดเชื้อ ในบางกรณีอาจต้องปลูกถ่ายผิวหนังเพื่อปิดแผลร่วมด้วย”

“โรคแบคทีเรียกินเนื้อคนแม้จะอันตรายแต่ก็ป้องกันได้ โดยถ้าเป็นแผลก็ควรล้างให้สะอาดด้วยน้ำเกลือหรือน้ำดื่ม แล้วปิดแผลด้วยผ้าสะอาดหรือปลาสเตอร์ให้มิดชิดเพื่อป้องกันเชื้อโรค อยากให้เข้าใจว่า เวลาเป็นแผลหรือเมื่อคนใกล้ตัวเป็นแผล ให้สังเกตลักษณะและการเปลี่ยนแปลงของแผลให้ดี ถ้ามีสัญญาณไม่ดีดั่งที่กล่าวไป ต้องรีบมาพบแพทย์ เพราะยิ่งรักษาเร็ว โอกาสหายก็จะยิ่งเยอะ นอกจากนี้ ก็อยากให้ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี เมื่อมีเกราะป้องกันที่ดี โรคร้ายก็มารบกวนชีวิตเราได้ยากขึ้น” นพ.รัชตะ ฉัตราติชาต กล่าวทิ้งท้าย

ผู้ที่สนใจปรึกษาแพทย์โรงพยาบาลวิมุต สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ศัลยกรรม ชั้น 4 หรือโทรนัดหมาย 02-079-0040 เวลา 8.00-20.00 น. หรือใช้บริการ Telemedicine ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ผ่าน ViMUT App คลิก https://bit.ly/372qexX

0 Shares

ขบวนการแพทย์ชนบท คว้ารางวัลแมกไซไซ ปี67 ยกย่องชื่นชมแพทย์หนุ่มสาวที่ทำงานในชนบทมาร่วม 50 ปี

ขบวนการแพทย์ชนบท คว้ารางวัลแมกไซไซ ปี67 ยกย่องชื่นชมแพทย์หนุ่มสาวที่ทำงานในชนบทมาร่วม 50 ปี

เชื่อมั่นเป็นพลังขับเคลื่อนปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิและชุมชนไทย ประสบผลสำเร็จ พร้อมขยายผลแลกเปลี่ยนเพื่อนบ้านอาเซียนที่มีวัฒนธรรมชุมชนเดียวกัน “หมอชูชัย”ขอบคุณคณะกรรมการรางวัลแมกไซไซ

เมื่อวันที่31 ส.ค. ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ มูลนิธิรามอนแมกไซไซ ได้ทำพิธีประกาศ มอบ รางวัลรามอนแมกไซไซ ให้กับผู้ได้รับรางวัลจากประเทศต่างๆในเอเชีย 5 ประเทศ กับ หนึ่งองค์กร คือ ขบวนการแพทย์ชนบท จากประเทศไทย จะมีพีธีมอบรางวัลในกลางเดือนพ.ย.ที่จะถึงนี้

ทั้งนี้ รางวัลแมกไซไซ (Ramon Magsaysay Award) เป็นรางวัลที่มอบให้กับผู้มีผลงานดีเด่นต่อมนุษยชาติในทวีปเอเชีย หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น Nobel Peace Prize of Asia เริ่มให้รางวัลตั้งแต่ปี 1957 เพื่อระลึกถึงคุณความดีและความตั้งใจของประธานาธิบดีรามอน แมกไซไซ แห่งประเทศฟิลิปปินส์

ในปี 2024 ซึ่งเป็นการมอบรางวัลเป็นครั้งที่ 66 นั้น มูลนิธิรางวัลแมกไซไซได้คัดเลือกผู้มีผลงานดีเด่นเข้ารับรางวัลจำนวน 5 ท่านได้แก่ Karma Phuntsho จากภูฏาน Miyazaki Hayao จากญี่ปุ่น Nguyen Thi Ngoc Phuong จากเวียดนาม Farwiza Farhan จากอินโดนีเซีย และขบวนการแพทย์ชนท จากประเทศไทย

ขบวนการแพทย์ชนบทกับการขับเคลื่อนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง 48 ปี ด้วยกลไกสำคัญ 3 กลไกของขบวนการแพทย์ชนบทคือ ชมรมแพทย์ชนบท มูลนิธิแพทย์ชนบท และกลุ่มสามพราน ผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ที่สากลยอมรับคือการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทย และการเฝ้าระวังป้องกันการคอร์รับชัน

ประเทศไทยมีบุคคลหรือองค์กรรับรางวัลแมกไซไซแล้วจำนวน 24 ท่าน/องค์กร และขบวนการแพทย์ชนบทเป็นรายที่ 25 สำหรับรางวัลอันทรงคุณค่านี้

นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ ประธานกรรมการมูลนิธิแพทย์ชนบท เจ้าของรางวัลผู้นำด้านสาธารณสุข มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เปิดเผยถึงผู้นำขบวนการแพทย์ชนบท คว้ารางวัลรามอนแมกไซไซ 2024 ว่า เมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นาง SUSANNA B. AFAN ประธานคณะกรรมการรางวัลแมกไซไซ ได้โทรศัพท์แจ้งผลการพิจารณาและกล่าวแสดงความยินดี ยกย่องชื่นชมแพทย์หนุ่มสาวที่ทำงานในชนบทมาร่วม 50 ปี โดยได้สร้างผลงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะเกิดในประเทศอื่นๆ ตนได้กล่าวขอบคุณกลับไป โดยเห็นว่ารางวัลแมกไซไซ ในปีนี้ได้มอบให้ผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชน และผู้สนับสนุนที่เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์แพทย์อีกจำนวนมาก ตลอดจนบุคลากรด้านสุขภาพและอาสาสมัครสาธารณสุขทั่วประเทศ รางวัลแมกไซไซเป็นพลังที่เรียกกันว่า ซอฟต์พาวเวอร์ เป็นพลังขับเคลื่อน สร้างแรงบันดาลใจครั้งสำคัญให้การปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิและชุมชนไทย ประสบผลสำเร็จได้ในอนาคตอันใกล้

นพ.ชูชัย กล่าวต่อว่า ประธานคณะกรรมการรางวัลแมกไซไซ ยังได้กล่าวยกย่องชื่นชมสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่เคยได้รับรางวัลแมกไซไซในปี 1991 (พ.ศ.2534) ซึ่งตนได้บอกไปว่า พระองค์ท่านยังทรงงานอยู่เพื่อคนไทยและเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อย และยัง ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมไปว่ามูลนิธิแพทย์ชนบทยังประสานการทำงานกับ ศ.กฤษณา ไกรสินธุ์ เจ้าของรางวัลแมกไซไซ ปี 2552 ในการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิและชุมชน ได้แนะนำให้ตนลงไปดูงานในพื้นที่สามชายแดนใต้ที่ผลิตยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรคุณภาพสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ อีกทั้งช่วยสร้างเศรษฐกิจชุมชนด้วย และเป็นการสร้างความมั่นคงในพื้นที่อย่างแท้จริง

“ศ.กฤษณาฯ เป็นบุคคลต้นแบบหรือ role model ของผมด้วย” นพ.ชูชัย กล่าว

เมื่อถามว่าใครหรือองค์กรใดเป็นผู้เสนอชื่อ ขบวนการแพทย์ชนบท ในปี2567จนได้รับรางวัลดังกล่าว นพ.ชูชัย กล่าวว่า เท่าที่ทราบน่าจะมีผู้เสนอมากกว่าสองแหล่งและเรื่องนี้คณะกรรมการพิจารณารางวัลแมกไซไซ ขอปิดเป็นความลับ

นพ.ชูชัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าสำหรับรายละเอียดของการดำเนินงานของขบวนการแพทย์ชนบทที่ผ่านมาเกือบห้าทศวรรษ สามารถค้นหาได้ในเพจ ติดตามการปฏิรูปประเทศกับหมอชูชัย เพจมูลนิธิแพทย์ชนบท เว็บไซต์(website), เว็บไซต์ สสส.,เว็บไซต์ สปสช. เว็บไซต์ สช. เว็บ ไซต์ มสช. ตลอดจน เพจ ชื่อ ชุมชนสุขภาพปฐมภูมิ และ เว็บไซต์ ชื่อระบบสุขภาพปฐมภูมิ ทั้งฉบับภาษาไทย และอังกฤษ มีดังนี้

1.ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง : วัฒนธรรมองค์กรของระบบสุขภาพไทย เอื้อต่อ การสร้างและพัฒนาเครือข่ายแพทย์ชนบท
2.ขบวนการแพทย์ชนบท: การถือกำเนิดและจัดตั้งสสส.
3.ขบวนการแพทย์ชนบท : การเกิดขึ้นของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
4.ขบวนการแพทย์ชนบท: การปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิและชุมชน
5.ห้าทศวรรษของขบวนการแพทย์ชนบทไทย: จากพัฒนาระบบสุขภาพในชนบท สู่ การปฏิรูประบบสุขภาพและประเทศ

นอกจากนี้ ทางมูลนิธิแพทย์ชนบท กำหนดให้มีการจัดงานเปิดตัวหนังสือชีวประวัติของศ.พิเศษ นพ.ธีระ รามสูต ในวันที่ 4 ก.ย.เวลา 12.00 – 15.30 น. ที่ห้องประชุม 110 ชั้น 1 อาคาร 100 ปีการสาธารณสุขไทย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยมี ศ.เกียรติยศ นพ.สงคราม ทรัพย์เจริญ เป็นประธาน กล่าวมุทิตาจิต เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูคุณงามความดีและสร้างแรงบันดาลใจให้กับบุคลากรสาธารณสุขในการมุ่งมั่นร่วมกันปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิตามเจตนารมณ์ของพรบ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ.2562 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ต่อไป จึงขอเชิญชวนสื่อมวลชนที่สนใจเข้าร่วมงานดังกล่าว

0 Shares

“สมิติเวช” คิกออฟ “รพ.บนฟ้า-บนดิน-โบยบิน” แก้ Pain Points

“สมิติเวช” คิกออฟ “รพ.บนฟ้า-บนดิน-โบยบิน” แก้ Pain Points

ตอกย้ำ รพ.แห่งอนาคต #เราไม่อยากให้ใครป่วย เน้นนำเทคโนโลยีและระบบเอไอ อำนวยความสะดวกการดูแลสุขภาพของคนทุกเจนเนอเรชัน แก้ Pain Points การหาหมอไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมกันทั้งรพ.บนฟ้า รพ.บนดิน และโรงพยาบาลโบยบิน

เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาล(รพ.)สมิติเวช ศรีราชา เพราะ #เราไม่อยากให้ใครป่วย โดยมีนายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานในพิธีแถลงข่าว นพ.ชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มรพ.สมิติเวช และรพ.บีเอ็นเอช นพ.ภราดร กุลเกลี้ยง ผู้อำนวยการรพ.สมิติเวช ศรีราชา แขกผู้มีเกียรติและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ร่วมงานอย่างคับคั่ง

หลังจากนำร่องให้บริการประชาชนในพื้นที่ภาคตะวันออก ภายใต้การดูแลของรพ.สมิติเวช ศรีราชา และรพ.สมิติเวช ชลบุรี ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาการให้การบริการทางการแพทย์สู่ยุคดิจิทัล ขยายฐานการดูแลประชาชนในภาคตะวันออก ตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับบริการในปัจจุบันและอนาคต วันนี้ “สมิติเวช” เดินหน้าเต็มสูบ เปิดตัวรพ.บนฟ้า รพ.บนดิน และรพ.โบยบิน (Cloud Hospital) ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ใช้บริการสุขภาพทางไกลมากถึง 246,205 ครั้ง ช่วยประหยัดเวลาได้ถึง 30% เฝ้าติดตามสุขภาพโดยทีมสหวิชาชีพให้ผู้รับบริการกว่า 322 คน โดย 99% ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากค่าน้ำตาลสูงหรือต่ำเกินไป ในระยะแรกจะเปิดให้บริการตั้งแต่ 08.00-20.00 น.

นพ.ชัยรัตน์ กล่าวว่า ปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงอย่างมากและรวดเร็ว ความต้องการของผู้รับบริการก็เปลี่ยนไปเช่นกัน “สมิติเวช” ทำเรื่องเกี่ยวกับนวัตกรรมมากว่า 10 ปี และทุกนวัตกรรมสิ่งสำคัญคือ ต้องสร้างคุณค่าให้กับผู้คน เราไม่ต้องการองค์กรแห่งความสำเร็จ แต่เราต้องการเป็นองค์กรแห่งคุณค่า เพราะเป็นประโยชน์กับชุมชน เป็นประโยชน์กับผู้รับบริการทั้งสิ้น

จากนี้ไป ใครอยากหาหมอแต่ไม่อยากมารพ. จะพบกับสมิติเวชในรูปแบบของ “โรงพยาบาลบนฟ้า” เป็น Cloud Hospital มีความแตกต่างจากทั่วๆ ไปมากมาย ด้วยระบบแพลตฟอร์มของ TeleSmartCare ให้คำปรึกษา วินิจฉัย และรักษาปัญหาสุขภาพเฉพาะบุคคล ผ่านระบบบริการสุขภาพทางไกลโดยแพทย์เฉพาะทาง รวมทั้งนัดหมายแพทย์ จ่ายเงิน จัดส่งยาถึงบ้าน บริการช่องทางด่วนในการตรวจสุขภาพ และฉีดวัคซีน ช่วยแก้ปัญหา ผู้รับบริการไม่อยากมาโรงพยาบาล ไม่อยากรอนาน เน้นผู้รับบริการที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว ผู้รับบริการที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ตอบโจทย์การเข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้วยราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้

ถ้ามารพ.ไม่อยากรอ สมิติเวช จัด “รพ.บนดิน” มี Smart OPD / Smart IPD เป็นตัวช่วยของผู้รับบริการ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ทั้งการดูประวัติการรักษา นัดหมายแพทย์ จ่ายเงิน แจ้งเตือนการกินยา ติดตามสถานะการผ่าตัด ติดตามแผนการรักษา ช่วยแก้ปัญหา ไม่อยากรอนาน คลายกังวล สะดวกสบาย เมื่อเข้ามาใช้บริการ โดยทุกอย่างเป็นแบบเรียลไทม์

รวมถึงกรณีที่ต้องการยกรพ.ไปอยู่ที่บ้านก็สามารถทำได้ ด้วย “รพ.โบยบิน” เป็นลักษณะแพลตฟอร์มของ Samitivej@Home นำบริการของรพ.ไปสู่ผู้รับบริการที่บ้าน เช่น บริการเจาะเลือด บริการล้างแผล เฝ้าไข้ กายภาพบำบัด ดูแลมารดาหลังคลอด ด้วยทีมวิชาชีพ ช่วยแก้ปัญหา เมื่อผู้รับบริการไม่สะดวกมาโรงพยาบาล มีผู้ใช้บริการแล้ว 1,200 คน ดูแลสุขภาพคนในชุมชนมากกว่า 20 ชุมชน ช่วยฟื้นฟูความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองได้มากกว่า 97% เมื่อทำกายภาพต่อเนื่องที่บ้าน ลดอัตราการกลับมารักษาซ้ำที่โรงพยาบาลมากกว่า 95% นอกจากนี้ ยังนำระบบ AI เข้ามาช่วยในการมอนิเตอร์ควบคุมโรคของผู้รับบริการได้ดียิ่งขึ้น เหล่านี้คือมิติใหม่ทางการแพทย์ที่สมิติเวชพยายามจัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับบริการทั้งปัจจุบันและอนาคต

“โครงการนี้เป็นโครงการเพื่อชุมชนและเพื่อประเทศชาติ ถ้าสามารถนำโครงการนี้ ซึ่งสมิติเวชทำเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ไปขยายต่อ ไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องมีหมอจำนวนมาก และค่าใช้จ่ายต่างๆ จะลดลง เมื่อค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพลดลง ทุกคนแข็งแรง ค่าจีดีพีก็จะดีขึ้น นำไปสู่ประเทศชาติเจริญ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และตอบโจทย์ทุกเจนเนอเรชัน”

นพ.ชัยรัตน์ บอกอีกว่า ในเฟซต่อไปจะมีระบบเอไอเข้ามาอีกมาก เพียงแต่ว่าต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะระบบเอไอจะต้องมีความแม่นยำ ซึ่งโดยรวมจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนมาก ยกตัวอย่าง รพ.บนดิน เมื่อมีการใช้ระบบ #ไม่อยากให้ใครป่วย สามารถช่วยผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจได้มากถึง 217 ราย ด้วยระบบ Smart Care ทำให้ทราบความเสี่ยงก่อนและสามารถช่วยชีวิตได้ นี่เป็นเรื่องของการสร้างคุณค่าอย่างแท้จริง

ทางด้าน นพ.ภราดร กล่าวเสริมในส่วนของรพ.โบยบินว่า ในบางสถานการณ์ที่ต้องการกลับไปดูแลที่บ้าน สมิติเวชจะนำมาตรฐานทางการแพทย์ที่สูง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องช่วยหายใจก็ดี การจัดเตียงดูแลผู้ป่วยที่บ้านก็ดี เพื่อทำให้เกิดความสะดวกสบายและเหมาะสมขึ้นกับคนไข้ในแต่ละราย เช่นกรณีของผู้ป่วยรายหนึ่งที่เข้ารับการผ่าตัดกระดูกสันหลังเสื่อม โดยปกติจะต้องอยู่ดูแลที่รพ. 7-10 วันจึงจะเริ่มหัดเดิน เราสามารถออกแบบแผนการรักษาแค่ 3 วัน และมีแพทย์ไปดูแลรักษาที่บ้าน มีพยาบาลตามไปดูแลติดตามอาการ ผู้รับบริการมีความสุขมากขึ้น และฟื้นตัวเร็ว ซึ่งมีตัวเลขแสดงผลชัดเจน เช่นรายนี้เพียงสัปดาห์เดียวสามารถเดินได้แล้ว

ปัจจุบัน รพ.โบยบิน ไม่เพียงให้บริการในเขตจ.ชลบุรี ยังครอบคลุมพื้นที่จ.ระยอง ฉะเชิงเทรา ซึ่งผลจากการวิจัยและดูแลเฝ้าระวังสุขภาพพบว่า ส่งผลดีกับผู้ป่วย ระยะเวลาฟื้นตัวเร็วกว่า 75% ลดอัตราการรักษาซ้ำ ระยะเวลารอคอยในโรงพยาบาล ลดเวลาการเดินทาง สามารถกลับมาทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิม การเจ็บป่วยบางครั้งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อเกิดการเจ็บป่วย สมิติเวชมีมาตรฐานการดูแลที่แตกต่างจากที่อื่น ใช้เทคโนโลยีช่วยเพื่อให้คนไข้ได้ประโยชน์สูงสุด

0 Shares

สสส. สานพลัง ม.มหิดล เปิดตัวเครื่องมือสร้างเสริมสุขภาวะของคนในองค์กรให้ผลแม่นยำเรียลไทม์ ได้มาตรฐานสากล

สสส. สานพลัง ม.มหิดล เปิดตัวเครื่องมือสร้างเสริมสุขภาวะของคนในองค์กรให้ผลแม่นยำเรียลไทม์ ได้มาตรฐานสากล

นำร่องสำรวจในองค์กรธุรกิจ 32 แห่ง พบ คนทำงาน 50%ให้ความสำคัญสุขภาวะมิติด้านสังคม-สภาพแวดล้อม สูงอันดับหนึ่ง เดินหน้าชวนภาคธุรกิจไทยใช้ระบบดิจิทัลเก็บข้อมูลสุขภาวะ ใช้วางแผน สื่อสารสุขภาวะ สร้างองค์กรแห่งความสุขที่ยั่งยืน


เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่อาคารวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดลนพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในงานเวทีสรุปการศึกษาและพัฒนาเครื่องมือสำรวจสุขภาวะองค์กรอย่างยั่งยืน ว่า ทิศทางการสร้างเสริมสุขภาวะองค์กรตามยุทธศาสตร์ 10 ปี ของ สสส. เน้นการทำงาน ใน 5 ส่วนสำคัญ 1.การสร้างผลกระทบ (Impact) 2.การขยายผล (Scale up) 3.สอดคล้องเป้าหมายองค์กรสุขภาวะ 7+1 (Alignment) 4.ความยั่งยืน (Sustainability) 5.การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี (Innovation) ที่ผ่านมาเครือข่ายองค์กรสุขภาวะ เดินหน้าพัฒนาองค์กรสุขภาวะและเครื่องมือสร้างเสริมสุขภาวะของคนในองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีของพนักงาน ภายใต้บริบทการทำงานปัจจุบันและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) แต่ยังพบข้อจำกัดการวัดผลการมีสุขภาวะที่ดีของคนทำงานในองค์กร และการประเมินผลที่ความรวดเร็วในกรณีที่องค์กรต้องการทราบทันที

“สสส. จึงร่วมกับคณะวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาเครื่องมือสร้างเสริมสุขภาวะของคนในองค์กร ภายใต้โครงการพัฒนาเครื่องมือสนับสนุนการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กรอย่างยั่งยืน ในรูปแบบแบบสำรวจออนไลน์ที่ได้ตามมาตรฐานสากล ใช้สำรวจสุขภาวะของคนทำงาน ครอบคลุมประเด็นเรื่อง Happy workplace ตามแนวทางความสุข 8 ประการ รวมถึงเป้าหมายการพัฒนาสุขภาวะองค์กรให้เกิดความยั่งยืน นำร่องสำรวจสุขภาวะคนทำงาน 1,089 คน จากองค์กรภาคธุรกิจ 32 แห่ง ปี 2567 พบ คนทำงาน 50% ให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมสุขภาวะในมิติทางสังคมสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับ 1 รองลงมามิติทางกาย มิติทางปัญญา และมิติทางใจ สสส. เดินหน้าชวนองค์กรภาคธุรกิจทั่วประเทศใช้เครื่องมือวัดสุขภาวะองค์กร สำหรับผลประเมินสุขภาวะของคนทำงานทุกมิติเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ข้อมูลแก่องค์กรเพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบายที่เอื้อต่อการเป็นองค์กรแห่ง
สุขภาวะที่อย่างยั่งยืน” นพ.พงศ์เทพฯ กล่าว

รศ.ดร.พลิศา รุ่งเรือง รักษาการแทนรองคณบดีงานบริหาร และรักษาการแทนรองคณบดีงานวิจัย วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้พนักงานลาออก ส่วนใหญ่มาจากความเครียดและความกดดันจากการทำงาน บรรยากาศโดยรวมขององค์กรที่ไม่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ผลงานและพัฒนาทักษะใหม่ๆ สวัสดิการขาดความยืดหยุ่น ไม่สอดคล้องกับคุณภาพชีวิตและสภาวะเศรษฐกิจ ผู้บริหารยุคใหม่จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ Well-being ในการบริหารจัดการสุขภาวะที่ดีในที่ทำงาน พัฒนาทักษะความสามารถของพนักงาน พร้อมกับปรับวัฒนธรรมองค์กรเพื่อดึงดูดพนักงานหน้าใหม่ ทั้งนี้ ระบบดิจิทัลสำรวจสุขภาวะในองค์กร จะเป็นเครื่องมือสำคัญให้องค์กรภาคธุรกิจใช้สำรวจสุขภาวะของพนักงานใน 4 มิติ คือ มิติทางกาย มิติทางใจ มิติทางปัญญา มิติทางสังคมสิ่งแวดล้อม และบริหารจัดการองค์กรให้มีสุขภาวะที่ดี ส่งเสริมสุขภาพคนทำงานให้สมดุลและยั่งยืนตามยุทธศาสตร์ชาติ และ สสส. ต่อไป

รศ.ดร.สุภรักษ์ สุริยันเกียรติแก้ว หัวหน้าทีมวิจัยโครงการพัฒนาเครื่องมือสนับสนุนการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กรอย่างยั่งยืน กล่าวว่า ทีมวิจัยได้นำเครื่องมือวัดสุขภาวะองค์กรไปประยุกต์ใช้จริงในองค์กรต้นแบบ 3 แห่ง ได้แก่ 1.บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด 2.บริษัท แสงไทยเมตัลดรัม จำกัด 3.บริษัท เงินมาธุรกิจ จำกัด โดยการสำรวจสุขภาวะคนทำงานในองค์กร ประเมินผล พัฒนานโยบายและกิจกรรมส่งเสริมการเป็นองค์กรแห่งความสุข เกิดผลลัพธ์ขององค์กรสุขภาวะที่ดีตรงกันใน 4 มิติ คือ 1.มิติความผูกพันขององค์กร 2.มิติผลผลิตของพนักงาน 3.มิติความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 4.มิติภาพลักษณ์ของตราสินค้า เป็นการตอกย้ำว่า การที่องค์กรส่งเสริมสุขภาวะให้คนทำงาน จะสามารถช่วยให้องค์กรมีผลผลิตที่มีคุณภาพ มีชื่อเสียงที่ดี ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่สุดสู่ความสำเร็จขององค์กรต่อไป

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อใช้งานระบบแบบสอบถามออนไลน์เพื่อสำรวจสุขภาวะในองค์กรได้ที่ wellbeingsurvey.th@gmail.com

0 Shares

รพ.วิมุต ผนึก นำวิวัฒน์ เปิดตัวนวัตกรรม iNAP ทางเลือกใหม่ในการรักษาอาการนอนกรน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

รพ.วิมุต ผนึก นำวิวัฒน์ เปิดตัวนวัตกรรม iNAP ทางเลือกใหม่ในการรักษาอาการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

เปิดเกมรุกตลาดใหญ่ “Sleep Economy เศรษฐกิจการนอน”เมกะเทรนด์มาแรงรับสังคม “นอนไม่ดี”เปิดสถิติคนไทย “นอนกรน” เสี่ยง “ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ” ภัยเงียบคุกคามคนไทยกว่า 3 ล้านคน


โรงพยาบาล(รพ.)วิมุต รพ.เอกชนชั้นนำใจกลางกรุงเทพฯ เดินเกมรุกจับตลาดมาแรง Sleep Economy หรือเศรษฐกิจการนอน สอดรับเมกะเทรนด์สุขภาพน่าจับตาหลังคนทั่วโลกเผชิญหลายปัญหาด้านการนอนหลับมากขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง ล่าสุดผนึกความร่วมมือกับ บริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NAM ผู้นำด้านการผลิต นำเข้า และจัดจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำของไทย ร่วมเสริมทัพเฮลท์เทคเพื่อยกระดับคุณภาพการนอนหลับด้วยการเปิดตัวเทคโนโลยี iNAP (Intraoral Negative Airway Pressure Therapy) ช่วยรักษาอาการนอนกรนที่คุกคามคนไทยกว่า 25% ซึ่งเป็นสัญญาณเสี่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) ภัยเงียบคุกคามสุขภาพคนไทยกว่า 3 ล้านคน โดย รพ. วิมุตเผย เดินหน้าสร้างความตระหนักรู้เรื่องอันตรายจากการนอนกรนที่นำไปสู่ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา อาจส่งผลให้เกิดโรคร้ายแรงทั้งทางกายและจิตใจ เช่น อารมณ์แปรปรวนง่าย อ่อนเพลีย ง่วงนอนมากระหว่างวันจนเป็นอันตรายต่อชีวิต ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ในระยะยาว พร้อมชวนคนไทยสังเกตตนเองและคนรอบตัว หากมีอาการนอนกรนอยู่เป็นประจำ ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาต่อไป ทั้งนี้ เพื่อโอกาสในการกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและลดอัตราการเสียชีวิตที่ป้องกันได้

นพ.พิชิต กังวลกิจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “รพ.วิมุต ยังคงเดินหน้ายกระดับการดูแลสุขภาพคนไทยในแบบองค์รวม พร้อมเสริมแกร่งธุรกิจเฮลท์แคร์ให้สอดรับตลาดและเทรนด์สุขภาพยุคใหม่อยู่เสมอ ข้อมูลจาก Emergen Research เผยว่าในปี 2022 ตลาด Sleep Economy หรือเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ มีมูลค่าถึง 512.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) อยู่ที่ 6.3% ปัจจุบัน ตัวเลขจากทั่วโลกและในไทยชี้ให้เห็นว่าภาวะนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เป็นภัยร้ายที่คุกคามสังคมโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยข้อมูลของ National Council on Aging (NCOA) ในสหรัฐฯ ระบุว่าประชากรโลกราว 936 ล้านคนกำลังเผชิญกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่าผู้ที่มีอาการนอนกรน เสี่ยงต่อภาวะดังกล่าวมากถึง 94% ส่วนสถิติในประเทศไทย ข้อมูลจากราชวิทยาลัย โสต ศอ นาสิกแพทย์แห่งประเทศไทย เผยว่าคนไทยประมาณ 25% มีภาวะนอนกรนและพบผู้มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับประมาณ 5% หรือราว 3 ล้านคน โดยในผู้ที่มีภาวะดังกล่าวมักมีอาการกรนมากจนหายใจติดขัด เกิดการสะดุดหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ทำให้ร่างกายขาดอากาศเป็นระยะ ๆ ระหว่างที่หลับ ซึ่งเป็นอันตรายต่อการทำงานของหัวใจ สมอง หลอดเลือด และอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ จึงเป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพร้ายแรงที่ทำให้ผู้คนเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนมากมายโดยไม่รู้ตัว เช่น ภาวะใหลตาย, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคหลอดเลือดหัวใจ, เบาหวาน, อัมพาต, ความดันโลหิตสูง และอีกหลายโรค รพ. วิมุต ตระหนักว่าการนอนกรน ไม่ใช่แค่เรื่องน่ารำคาญ แต่เป็นสัญญาณอันตรายที่ควรพบแพทย์ และปัจจุบันมีหลากหลายแนวทางการรักษาทางการแพทย์ที่ทำให้ผู้ใช้บริการกลับมานอนได้อย่างมีคุณภาพ”

การร่วมมือกับบริษัท นําวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) เพื่อเปิดตัว iNAP Sleep Therapy System นับเป็นนวัตกรรมใหม่ในการรักษาอาการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เป็นการเพิ่มทางเลือกในการแก้ปัญหาและเพิ่มคุณภาพการนอนหลับ ทั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ รพ. วิมุต ในการเป็นผู้นำด้าน Trusted Healthcare Platform นำเทคโนโลยีทางการแพทย์เข้ามายกระดับการดูแลรักษาและให้บริการที่ครอบคลุมอย่างไร้รอยต่อ พร้อมเดินหน้าจับมือกับพันธมิตรเพื่อเสริมแกร่งแพลตฟอร์มสุขภาพเพื่อดูแลคนไทยให้มีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน” นายแพทย์พิชิต กังวลกิจ กล่าวเสริม

นายวิโรจน์ ชัยเทอดเกียรติ กรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นําวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ NAM กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกและคนไทยเริ่มตระหนักรู้ถึงความสำคัญของคุณภาพการนอนหลับและภัยเงียบที่เกิดจากการนอนที่ไม่มีคุณภาพ โดยข้อมูลของ Research And Markets บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำระบุว่าตลาดเครื่องมือแพทย์ในการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับทั่วโลกจะมีมูลค่าถึง 9.95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 โดยขยายตัวที่ CAGR ที่ 7.34% จากปี 2567 ถึง 2573 ปัจจุบันตลาดประเมินไว้ที่ 6.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ ปี 2566 โดยนำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น ในฐานะผู้ผลิต นำเข้า และจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์และบริการอื่น ๆ ในธุรกิจด้านสุขภาพด้วยประสบการณ์มากกว่า 50 ปีในการทำงานร่วมกับรพ. และสถานพยาบาลชั้นนำ เรามีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การเปิดตัว iNAP Sleep Therapy System ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการเพิ่มทางเลือกใหม่สำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคหยุดหายใจขณะหลับในประเทศไทย และเป็นการเปิดตัวที่รพ.แห่งแรกในประเทศไทย โดย iNAP One Sleep Therapy System ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ออกแบบมาเพื่อลดการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งเป็นสาเหตุของการนอนกรน ทำงานด้วยเทคโนโลยี Oral Negative Air Pressure Therapy สร้างแรงดูดอ่อน ๆ ทำให้ลิ้นและเนื้อเยื่ออยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ช่วยให้หายใจได้อย่างเป็นธรรมชาติขณะที่นอนหลับ ด้วยรูปลักษณ์ที่สะดวกต่อการพกพา มีขนาดเล็กกะทัดรัด และสามารถนำขึ้นเครื่องบินได้ ไม่ต้องเสียบปลั๊ก ใช้งานได้นาน 4-6 วัน ทั้งยังเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับการทดสอบและรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในประเทศไทย

รวมทั้งผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) และในประเทศไต้หวัน อีกทั้งยังได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมายจากองค์กรชั้นนำ พร้อมการยอมรับจากแพทย์และนักวิจัยในหลายประเทศ ว่ามีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยในการลดภาวะหยุดหายใจขณะหลับในทุกระดับความรุนแรง

ผศ.พญ.กวินญรัตน์ จิตรอรุณฑ์_แพทย์เฉพาะทางสาขา นาสิกวิทยาและภูมิแพ้ รพ.วิมุต3.JPG

ผศ.พญ.กวินญรัตน์ จิตรอรุณฑ์ แพทย์เฉพาะทางสาขานาสิกวิทยาและภูมิแพ้ โรงพยาบาลวิมุต เล่าถึงสาเหตุของการนอนกรนและความเสี่ยงจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ว่า ในสังคมยุคปัจจุบัน ปัญหาการนอนนับเป็นปัญหาสุขภาพเรื่องใหญ่ที่พบ พบว่าผู้คนทั่วโลกมักมีความเครียดสะสม นอนไม่หลับ นอนไม่พอ และมีปัญหาเรื่องคุณภาพการนอน โดยพฤติกรรมนอนที่ผิดปกติเหล่านี้ก็ค่อย ๆ ส่งผลต่อร่างกายและจิตใจโดยที่ไม่รู้ตัว และที่น่าเป็นห่วงคือหลายคนยังคิดว่าการนอนกรนเป็นเรื่องปกติ แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น โดยเฉพาะในคนที่นอนกรนรุนแรงจนโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นร่วมด้วยนั้น อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก ภาวะนอนกรนพบได้ในทุกอายุ

“ทั้งนี้มักจะพบในผู้ใหญ่และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะคนที่มีน้ำหนักตัวมาก การนอนกรนระดับรุนแรงที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วยเราเรียกว่า Obstructive Sleep Apnea ซึ่งเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น โดยระบบทางเดินหายใจส่วนต้นมีการตีบแคบลง สาเหตุอาจเกิดจากกายวิภาคของกล้ามเนื้อในช่องคอ โคนลิ้นมีการหย่อนไปปิดทางเดินหายใจส่วนต้น โดยเฉพาะขณะหลับหรือการที่ช่องคอมีลักษณะแคบ ทำให้ออกซิเจนไม่สามารถเข้าสู่ปอดไปเลี้ยงสมองและอวัยวะอื่น ๆ ได้ คนไข้จะมีภาวะออกซิเจนต่ำ มีการคั่งของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้เกิดการสะดุ้งเฮือกกลางดึกหรืออาการเหนื่อยหอบหลังสะดุ้งตื่น ทำให้รู้สึกเหมือนยังไม่ได้พักผ่อนเมื่อตื่นนอน แต่กลับเหนื่อยล้าและรู้สึกง่วง เมื่อเป็นเช่นนี้เป็นประจำจะส่งผลร้ายต่อสภาพร่างกายและจิตใจ รวมถึงความเสี่ยงต่อโรค อาทิ ความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว ภาวะหัวใจห้องบนผิดปกติ เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหลอดเลือดสมอง รวมถึงซึมเศร้าและโรคอ้วน

“ส่วนการปรับพฤติกรรมเพื่อลดปัญหาการนอนกรนและการหยุดหายใจขณะหลับที่ดีที่สุดคือการลดน้ำหนักตัว ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ปรับท่านอนเป็นนอนตะแคงจะช่วยให้อาการลดลงบ้าง อย่าอดนอน และที่สำคัญหมั่นสังเกตอาการของตัวเองและคนรอบข้าง หากพบอาการผิดปกติ เช่น นอนกรนเป็นประจำและมีอาการสะดุ้งเฮือก นอนเต็มที่แต่ตื่นมายังง่วงมาก ปากแห้ง-คอแห้งและเจ็บคอเมื่อตื่นนอน หรือปวดศีรษะหลังตื่นนอนเป็นประจำ ควรพบแพทย์เพื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างทันท่วงที หากซักประวัติแล้วเข้าข่ายก็ควรตรวจด้วยการทำ Sleep Test เพื่อวิเคราะห์การทำงานของร่างกายระหว่างนอนหลับโดยละเอียด เพื่อหาแนวทางรักษาอาการต่อไปและกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่” ผศ.พญ.กวินญรัตน์กล่าว

ศูนย์ หู คอ จมูก รพ.วิมุต ให้บริการตรวจ Sleep Test ให้แก่ผู้ป่วยที่มีปัญหาผิดปกติในระหว่างการนอน พร้อมแนะนำนวัตกรรมสำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคและการรักษาภายใต้การดูแลของทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความชำนาญ สำหรับผู้ที่สนใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ หู คอ จมูก ชั้น 5 รพ.วิมุต หรือโทร 02-079-0050

0 Shares

ประเมินภาวะสุขภาพด้วยเทคโนโลยีระบบ AI อัจฉริยะ สมิติเวช เปิดตัวแคมเปญใหญ่ Save Life Save Price สุขภาพดี ราคาเดียว ทั้งเครือสมิติเวช #เราไม่อยากให้ใครป่วย

ประเมินภาวะสุขภาพด้วยเทคโนโลยีระบบ AI อัจฉริยะ สมิติเวช เปิดตัวแคมเปญใหญ่ Save Life Save Price
สุขภาพดี ราคาเดียว ทั้งเครือสมิติเวช #เราไม่อยากให้ใครป่วย

นพ.ชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มรพ.สมิติเวช และรพ.บีเอ็นเอช กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ประชาชนพบเจอกับปัญหามากมาย ความเครียด เศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สมิติเวช #เราไม่อยากให้ใครป่วย มีความห่วงใย จึงเปิดแคมเปญใหญ่ Save Life Save Price สุขภาพดี ราคาเดียว ทั้งเครือสมิติเวช เริ่มต้นตรวจสุขภาพ ราคาเพียง 2,700 บาท

สำหรับแคมเปญใหญ่ Save Life Save Price สุขภาพดี ราคาเดียว ทั้งเครือสมิติเวช โดยมีความแตกต่างกันในแต่ละเดือน เปิดขาย ตั้งแต่ส.ค.-ต.ค.สำหรับในเดือนส.ค.พบกับ
· โปรแกรมตรวจสุขภาพ สำหรับครอบครัว อายุ 30-40 ปี 13 รายการ ราคา 2,700 บาท
· โปรแกรมตรวจสุขภาพ สำหรับผู้หญิง อายุ 40 ปี ขึ้นไป 14 รายการ ราคา 4,400 บาท
· โปรแกรมตรวจสุขภาพ สำหรับผู้ชาย อายุ 40 ปี ขึ้นไป 14 รายการ ราคา 4,400 บาท


ซื้อได้ตั้งแต่ วันนี้ -31 ส.ค. รับบริการได้ถึง 30 ก.ย. ราคาดังกล่าวรวมค่าแพทย์ และค่าบริการโรงพยาบาลฯ สำหรับชาวไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น รับสิทธิ์เพิ่มโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ประเมินความเสี่ยงสุขภาพ 7 ภาวะ ด้วยเทคโนโลยี AI อัจฉริยะ จากการถ่ายภาพดูคุณภาพเส้นเลือดในจอประสาทตา เช่น ภาวะโลหิตจาง ภาวะหลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจและหลอดเลือด จอประสาทตาเสื่อม ความเสี่ยงต่อการบกพร่องของสมรรถนะสมอง การเผาผลาญกลูโคส ความเสี่ยงต่อฝุ่นละอองขนาดเล็กที่สามารถหายใจเข้าไป มูลค่า 1,000 บาท จำนวนจำกัด 50 ท่านแรก เมื่อซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับผู้ชาย หรือ ผู้หญิง อายุมากกว่า 40 ปี ราคา 4,400 บาท เฉพาะ รพ.สมิติเวช สุขุมวิท และรพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ เท่านั้น

ติดตามแคมเปญใหญ่ Save Life Save Price ในเดือน ก.ย.–ต.ค.ได้ทาง Facebook: Samitivej Club (รพ.สมิติเวช สุขุมวิท และ รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์) Facebook: Samitivej Thonburi Hospital (รพ.สมิติเวช ธนบุรี) Facebook: Dr.Odean by Samitivej Chinatown Hospital (รพ.สมิติเวช ไชน่าทาวน์) Facebook: SamitivejChonburi (รพ.สมิติเวช ชลบุรี) และ Facebook: SamitivejSriracha (รพ.สมิติเวช ศรีราชา)

0 Shares

วว. พัฒนาเจลลูกประคบผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่จากสมุนไพรไทย

วว. พัฒนาเจลลูกประคบผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่จากสมุนไพรไทย

บริบทการเปลี่ยนแปลงของสังคมและการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ส่งผลให้ความต้องการของผู้บริโภคปรับเปลี่ยนตามไปด้วย โดยเฉพาะความต้องการผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ สามารถใช้ได้สะดวก ปลอดภัย ได้มาตรฐานสากล

จากโจทย์ดังกล่าว สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร จึงได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนา “เจลลูกประคบ : Luk Prakob Gel” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่จากสมุนไพรไทย

โดยใช้วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรที่ใช้ในลูกประคบ ได้แก่ ไพล ขมิ้นชัน มะกรูด ตะไคร้ เป็นต้น แล้วนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ในรูปแบบของเจล เพื่อความสะดวกในการใช้ของผู้บริโภค โดย ผลิตภัณฑ์ยังคงประสิทธิภาพในการรักษาอาการปวดเมื่อย ปวดบวมจากกล้ามเนื้ออักเสบ เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ เช่นเดียวกับการประคบด้วยลูกประคบสมุนไพร

ทั้งนี้ น้ำมันหอมระเหยที่สกัดได้จากสมุนไพรรวมในลูกประคบ วว. นำมาศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่า มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยสามารถลดการบวมของหูหนูขาวได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีประสิทธิภาพในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

ผลิตภัณฑ์เจลลูกประคบ ผลงานวิจัย วว. ผ่านการทดสอบความเป็นพิษ ได้แก่ ความเป็นพิษเฉียบพลันทางผิวหนัง และการก่อความระคายเคืองเบื้องต้น โดยพบว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยต่อการนำไปใช้ นอกจากนี้ผลการศึกษาขั้นคลินิกเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของเจลสูตรลูกประคบในการบรรเทาอาการปวดในผู้ป่วยข้อเข่าอักเสบพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยเจลสูตรลูกประคบมีอาการปวดเข่าน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและไม่พบผลข้างเคียงใดๆ

วว.พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต “เจลลูกประคบ” ให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อนำไปผลิตในเชิงพาณิชย์ สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ Call center วว. โทร. 0 2577 9000 ในวันและเวลาราชการ หรือที่ E-mail : tistr@tistr.or.th

0 Shares

มูลนิธิรามาธิบดีฯ ดึงทัพนักกีฬาอีสปอร์ตแถวหน้าของเมืองไทย ‘Bacon Time’ จัดสตรีมการกุศล Rama x Gamers Fun For Fund +1 Season2 ตั้งเป้าเข้าถึงกลุ่มผู้บริจาคเจนใหม่

มูลนิธิรามาธิบดีฯ ดึงทัพนักกีฬาอีสปอร์ตแถวหน้าของเมืองไทย ‘Bacon Time’
จัดสตรีมการกุศล Rama x Gamers Fun For Fund +1 Season2 ตั้งเป้าเข้าถึงกลุ่มผู้บริจาคเจนใหม่

มูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สานต่อภารกิจแห่ง ‘การให้’ ที่มอบความสุขได้อย่างไม่สิ้นสุด จับมือ ‘Bacon Time’ สโมสรอีสปอร์ตแถวหน้าของประเทศไทย ส่งทีมนักกีฬาอีสปอร์ตแบบจัดเต็มมาโชว์ฟอร์มรูปแบบใหม่กับการสตรีมการกุศล ร่วมกับคุณหมอจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี พร้อมชวนสาวกเกมเมอร์

ร่วมบริจาคเงินให้โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี เพื่อเพิ่มพื้นที่ บวกความหวังให้ประชาชนไทยเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียม

สำหรับคนไทยการเล่นเกมเป็นหนึ่งในรูปแบบของความบันเทิงที่ได้รับความนิยมโดยเฉพาะในกลุ่มคนเจเนอเรชั่นใหม่ ด้านอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตมีแนวโน้มเติบโตและพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง นอกจากเกมจะสร้างความสนุกสนานและประสบการณ์ใหม่บนโลกออนไลน์ เกมยังกลายมาเป็นโอกาสในการก้าวสู่อาชีพทางเลือกบนโลกความเป็นจริง ตั้งแต่อาชีพเกมสตรีมเมอร์ (Game Streamer) ไปจนถึงนักกีฬาอีสปอร์ต (E-sports Player) และอาจกล่าวได้ว่าเกมเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของการขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจไทย ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของประชากร
เจเนอเรชั่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่กำลังก้าวเข้ามาเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญของการพัฒนาและสร้างการเปลี่ยนแปลงในอนาคต มูลนิธิรามาธิบดีฯ จึงมองหาโอกาสในการสร้างสรรค์โครงการรูปแบบใหม่เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนเจเนอเรชั่นใหม่อยู่เสมอ

ในปีที่ผ่านมา มูลนิธิรามาธิบดีฯ ประสบความสำเร็จจากการเปิดมิติใหม่ของ ‘การให้’ ผ่านโครงการพิเศษ Rama X Gamers “Fun For Fund” การสตรีมเกมเพื่อการกุศลร่วมกับกลุ่มเกมเมอร์ชื่อดังของไทย และในปีนี้ มูลนิธิรามาธิบดีฯ จึงขยายความร่วมมือกับสโมสรอีสปอร์ตขวัญใจแฟนเกมชาวไทย ‘Bacon Time’ เพื่อต่อยอดโครงการในซีซั่น 2 ด้วยกิจกรรม ‘BAC Clinic #เบคคลินิก’ สตรีมการกุศลที่จะเปลี่ยนนักกีฬาอีสปอร์ต ‘สายบวก’ มาส่ง ‘พลัง +1’ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีร่วมกันกับมูลนิธิรามาธิบดีฯ โดยการเล่นเกมโชว์พร้อมเปิดช่วงให้แฟนเกมเข้ามารับคำปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับการเล่นเกม โดยมีบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดี รับหน้าที่ ‘หมอ (กาย)’ และ ‘หมอ (ใจ)’ ร่วมให้คำปรึกษาด้านผลกระทบทางกายและจิตใจที่เกิดจากการเล่นเกม พร้อมให้แนวทางการรับมือเพื่อไขทุกปัญหาควบคู่ไปกับการเสริมสร้างสุขภาวะทางจิตใจที่ดี เพราะมูลนิธิรามาธิบดีฯ ตระหนักถึงปัญหาความเปราะบางของสภาวะทางจิตใจที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ต้องเผชิญ

คุณพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวว่า “มูลนิธิรามาธิบดีฯ ยึดมั่นในบทบาท ‘สะพานแห่งการให้’ มาตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษเพื่อเป็นที่พึ่งให้คนไทยเสมอมา ในปีนี้ มูลนิธิฯ สานต่อโครงการ Rama X Gamers “Fun For Fund”+1 ซีซั่น 2 #RamaFunforFund ผ่านความร่วมมือกับสโมสรอีสปอร์ต ‘Bacon Time’ #RamaxBaconTime ตั้งเป้าหมายประชาสัมพันธ์การระดมทุนโครงการก่อสร้างอาคารแห่งใหม่ของโรงพยาบาลรามาธิบดี ไปยังกลุ่มคนเจเนอเรชั่นใหม่โดยเฉพาะกลุ่มแฟนเกมที่ชื่นชอบในกีฬาอีสปอร์ต พร้อมส่งเสริมให้ผู้เล่นได้สนุกสนานและเพลิดเพลินไปพร้อมกับนักกีฬา ควบคู่ไปกับการสร้างเสริมความรอบรู้เรื่องสุขภาพ (Health Literacy) และสุขภาวะที่ดีทางจิตใจ ซึ่งสอดคล้องไปกับพันธกิจหลักของมูลนิธิรามาธิบดีฯ ในการสร้างสุขภาพที่ดีของคนไทยอย่างยั่งยืน โดย
การระดมทุนโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพื้นที่ เพิ่มโอกาสให้ประชาชนไทยทุกคนเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพได้อย่างทัดเทียมและทั่วถึง”

A person standing in front of a sign

Description automatically generated

คุณสุรศักดิ์ วินิจ Co-Founder และ Vice Present of Talents บริษัท Ampverse Digital กล่าวว่า “ทีมเบคอนไทม์ สโมสรกีฬาอีสปอร์ตชั้นนำของประเทศไทย ภายใต้สังกัดแอมป์เวิร์ส (Ampverse) บริษัทผู้ให้บริการด้านธุรกิจเกมมิงและอีสปอร์ตครบวงจรระดับโลก เบคอนไทม์ #ทีมBaconTime มีความยินดีที่จะร่วมเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมเกมที่ขับเคลื่อนโครงการ Rama X Gamers “Fun For Fund”+1 ซีซั่น 2 #RamaxBaconTime เพื่อระดมทุนสร้างโรงพยาบาลรามาธิบดีแห่งใหม่ โดยส่งนักกีฬาอีสปอร์ตแบบฟลูทีมมาจัดสตรีมการกุศล ‘BAC Clinic #เบคคลินิก’ ร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อมอบความสุขและความสนุกให้แฟนคลับได้อิ่มอกอิ่มใจและอิ่มบุญไปพร้อมกัน ตอกย้ำจุดยืนของเบคอนไทม์กับการเป็นแบรนด์อีสปอร์ต-เอนเตอร์เทนเมนต์ ที่ไม่เพียงนำเสนอเนื้อหา
การแข่งขันกีฬาอีสปอร์ตเท่านั้น แต่นำเสนอเนื้อหาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนานและสร้างสรรค์ พร้อมเปิดโอกาสให้แฟนคลับเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสิ่งที่ดีสู่สังคมร่วมกัน เบคอนไทม์จะยังคงมุ่งมั่นในการส่งเสริมคอมมูนิตี้เกมให้เป็นพื้นที่ของการเล่นเกมที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ความสร้างสรรค์ และเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน”

ภายในงานแถลงข่าวมีการสาธิตรูปแบบกิจกรรมการระดมทุนในปีนี้ นำโดยนักกีฬาอีสปอร์ต หมูหวาน-เมธาสิทธิ์,กายหงิด-วิรัชสัณห์, เต๋าเอ็ก-วรสิทธิ์, คิมเซนเซย์-ศิชฌนะ, เต้-พสุ และ มาร์คกี้-เจษฏาพันธ์ พร้อมด้วย ‘หมอ (กาย)’ ที่จะมาให้คำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาทางร่างกาย นพ. ณัฐภัทร ศรีสุวัฒน์ แพทย์ด้านเวชศาสตร์การกีฬา ภาควิชาศัลยกรรมผ่าตัดกระดูกและข้อ และ ‘หมอ (ใจ)’ ที่จะมาให้คำปรึกษาด้านจิตใจ อ.พญ. พิชชาภัสร์ ชินณะราศรี อาจารย์จิตแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี พร้อมชวนแคสต์เกมติดตามกิจกรรม ‘BAC Clinic #เบคคลินิก’ ในวันพุธที่ 31 ก.ค. ติดจอรอชมไลฟ์ได้ตั้งแต่เวลา 16.00 น. และร่วมบริจาคให้กับโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีสู่สังคมร่วมกัน สามารถติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมได้ยูทูป www.youtube.com/@RamaFoundationTH และ https://www.youtube.com/@BaconTime

โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี จะทำหน้าที่ครอบคลุมใน 3 มิติ ได้แก่ 1) โรงพยาบาลเพื่อให้บริการทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ 2) โรงเรียนแพทย์เพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเข้าสู่ระบบสาธารณสุขไทย และ 3) ศูนย์ศึกษาวิจัยเพื่อต่อยอดแนวทางในการรักษารูปแบบใหม่รวมถึงนวัตกรรมทางการแพทย์ โดยคาดการณ์ว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงต้นปี พ.ศ. 2567 และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการประชาชนภายในปี พ.ศ. 2573 โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี ยังคงขาดงบประมาณสำหรับการก่อสร้างประมาณ 6,000 ล้านบาท และงบประมาณสำหรับการจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัยอีกกว่า 3,000 ล้านบาท ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินสมทบทุนให้กับโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี ได้ที่ มูลนิธิรามาธิบดีฯ www.ramafoundation.or.th

0 Shares