คลังเก็บหมวดหมู่: การเมือง

ประสานจีนช่วยเกษตรไทย ส่งเสริมด้านทุน เทคโนโลยี และการตลาด

ประสานจีนช่วยเกษตรไทย
ส่งเสริมด้านทุน เทคโนโลยี และการตลาด

นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา และนายชนศวรรตน์ ธนศุภรณ์พงษ์ เลขานุการคณะกรรมาธิการ ได้ให้การต้อนรับและพบปะหารือ แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับคณะผู้แทนนักธุรกิจจีนเพื่อหารือแนวทางความร่วมมือในการส่งเสริมการลงทุน เพื่อเป็นการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ ที่อาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนของคณะผู้มาเยือนประกอบด้วย

1. Mr. Qiao Yong ตำแหน่ง Secretary of Alumni Entrepreneur Council, Tongji University
2. Mr. Wang Chunhai ตำแหน่ง 1) Co-founder and VP of Shanghai Longbo Business Consulting Service Co., LTD 2) Chairman of Shanghai Ruilong Automobile Technology Co., LTD 3) Secretary of Shanghai Public Companies Association
3. Dr. Ma Ningjia ตำแหน่ง Vice President Thai-Chinese Commerce Association
4. น.ส.อัญชิษฐา อิฐรัตน์ ผู้ช่วย Dr. Ma Ningjia

ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวต้อนรับคณะผู้มาเยือน และกล่าวสรุปถึงแนวทางการทำงานของคณะกรรมาธิการฯ ว่า “คณะกรรมาธิการฯ มุ่งมั่นในการแก้ปัญหาความยากจน โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรส่วนใหญ่ที่มีพื้นที่ทางการเกษตรอยู่นอกเขตพื้นที่ชลประทาน ที่มีจำนวนมากถึงร้อยละ 78 ให้มีน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตรตลอดทั้งปี 365 วัน โดยใช้นวัตกรรมฝายแกนดินซีเมนต์ที่มีราคาถูก ก่อสร้างได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำ โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้เผยแพร่ความรู้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และภาคประชาสังคมที่มีความสนใจ ซึ่งในช่วงแรกงบประมาณที่ อปท. ใช้ในการสร้างฝายแกนดินซีเมนต์ ส่วนหนึ่งจะเป็นงบประมาณของ อปท. เอง และงบประมาณ CSR รวมทั้งเงินที่ชาวบ้านรวบรวมกันมาเอง“

“เมื่อเกษตรกรมีน้ำใช้เพื่อการเกษตรอย่างเพียงพอแล้ว คณะกรรมาธิการฯ ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชราคาสูงที่เป็นความต้องการของตลาด ทำการเกษตรอินทรีย์ไม่ใช้สารเคมี ส่งเสริมด้านการตลาดโดยการนำสินค้าเข้าสู่ระบบโมเดิร์นเทรด รวมทั้งต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวชีวภาพ (Bio Tourism) โดยให้ชาวบ้านได้รับประโยชน์มากที่สุด เช่น การขายผลิตภัณฑ์โดยตรง และการเปิดโฮมสเตย์ เป็นต้น

”นอกจากการแสวงหาความรู้และแนวทางในการแก้ปัญหาความยากจนจากภายในประเทศแล้ว คณะกรรมาธิการฯ ยังได้เดินทางไปศึกษาดูงานการขจัดปัญหาความยากจนที่เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงและมณฑลยูนนานของประเทศจีนในเดือนพ.ค. 2566 และในช่วงเดือนพ.ค. 2567 คณะกรรมาธิการฯ ยังได้เดินทางไปศึกษาดูงานเกี่ยวกับการปราบปรามการคอร์รัปชันและการขจัดปัญหาความยากจนของประเทศจีน ณ กรุงปักกิ่ง ซึ่งทำให้คณะกรรมาธิการฯ ได้รับความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่าเพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศไทยต่อไป และเมื่อการทำงานของคณะกรรมาธิการฯ สิ้นสุดลง จะมีการจัดตั้ง “มูลนิธิแก้จน” เพื่อสานงานของคณะกรรมาธิการฯ ต่อไป“

”จากการเดินทางไปประชุมทวิภาคีและศึกษาดูงานการขจัดปัญหาความยากจนที่ประเทศจีน ทำให้เห็นว่าภาคธุรกิจของจีนนั้น มีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการขจัดปัญหาความยากจนในประเทศจีน เพราะภาคธุรกิจจีนไม่ใช่แค่ต้องการเพียงกำไร แต่ยังประกอบธุรกิจที่คำนึงถึงด้าน คุณธรรม มีความรับผิดชอบต่อสังคมและแสดงความรักต่อประเทศชาติอีกด้วย“ นายสังศิตกล่าว

Mr. Qiao Yong กล่าวขอบคุณประธานคณะกรรมาธิการฯ และกล่าวว่า ตนในฐานะเลขานุการสมาคมนักธุรกิจศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยถงจี้ มหานครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และผู้ร่วมก่อตั้ง Shanghai Longbo Business Consulting Service Co., LTD ดำเนินธุรกิจในด้านการให้คำปรึกษากับบริษัทและนักธุรกิจจีนที่จะออกไปลงทุนในที่ต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งการเดินทางมาประเทศไทยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักในการเข้าพบหารือกับหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ เช่น BOI สมาคมการค้า และนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลนำไปเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักธุรกิจที่สนใจเข้ามาหาข้อมูล และถ้าเห็นข้อมูลแล้วมีความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในด้านใด ทางบริษัทจะดำเนินการประสานงานเพื่อให้เกิดการพบปะหารือในรายละเอียดต่อไป

Mr. Qiao Yong ได้แสดงความสนใจเกี่ยวกับการกักเก็บน้ำด้วยนวัตกรรมฝายแกนดินซีเมนต์และการดำเนินงานของ “มูลนิธิแก้จน” ซึ่งประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติม สรุปได้ดังนี้

1. ตามที่กล่าวมาข้างต้น ฝายแกนดินซีเมนต์ 1) ราคาถูก 2) ก่อสร้างได้อย่างรวดเร็ว และ 3) มีประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำ

ที่ฝายมีราคาถูก เพราะใช้ปูนซีเมนต์ผสมกับดินในพื้นที่ในอัตราส่วน 1 : 10-30 มูลค่าการก่อสร้างส่วนใหญ่จึงอยู่ที่ราคาปูนซีเมนต์และค่าน้ำมัน ค่าเครื่องจักร ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 1-2 สัปดาห์ ส่วนกรณีฝายขนาดเล็กจะใช้แรงงานคนในท้องถิ่นและใช้เวลาสร้างไม่ถึงครึ่งวัน มีประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำเนื่องจากมีการฝังแกนดินลึกลงไปเป็น 2 เท่าของความสูงของฝาย และฝังแกนดินเข้าไปในตลิ่งทั้งสองข้าง จึงทำให้น้ำซึมผ่านได้ยากและน้ำไม่สามารถงัดฝายให้พังได้

การดำเนินงานของคณะกรรมาธิการฯ ในการเผยแพร่นวัตกรรมฝายแกนดินซีเมนต์ให้แก่องค์กรต่างๆ โดยเฉพาะ อปท. ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดฝายแกนดินซีเมนต์กระจายอยู่ในทั่วประเทศ โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคอีสานมากกว่า 1,000 ฝาย และเห็นว่านวัตกรรมฝายแกนดินซีเมนต์สามารถนำไปปรับใช้ในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศที่คล้ายกันได้เป็นอย่างดี

2. ในส่วนของการจัดตั้ง “มูลนิธิแก้จน” นั้น เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาความยากจนต่อยอดจากการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการฯ มูลนิธิแก้จนจะพึ่งพาตนเองโดยการหารายได้จากการจัดตั้งบริษัทหรือวิสาหกิจเพื่อสังคม แล้วนำรายได้ดังกล่าวมาบริจาคให้ทางมูลนิธิแก้จนไปดำเนินการในด้านสาธารณะประโยชน์ แต่มูลนิธิแก้จนยังยินดีรับเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาความยากจนต่อไปด้วย

Mr. Qiao Yong ชื่นชมการดำเนินการดังกล่าว และจะนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ประชาสัมพันธ์ให้นักธุรกิจในประเทศจีนได้รับทราบเพื่อหาแนวทางในการสนับสนุนต่อไป

Mr. Wang Chunhai ได้กล่าวว่า Shanghai Ruilong Automobile Technology Co., LTD เป็นบริษัทที่เกี่ยวกับการออกแบบและการประกอบรถยนต์ ซึ่งผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมรถยนต์กำลังมองหาลู่ทางการขยายการลงทุนออกไปยังต่างประเทศ และจากความสัมพันธ์ที่ดีและยาวนานระหว่างไทยและจีน รวมทั้งปัจจัยความพร้อมด้านอื่นๆ ของไทย ทำให้มีโอกาสที่ผู้ประกอบการจีนจะมาลงทุนที่ประเทศไทยมากยิ่งขึ้นในอนาคต
ในส่วนของการขจัดปัญหาความยากจนในประเทศจีนนั้น ทางสมาคมนักธุรกิจศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยถงจี้ ได้มีส่วนร่วมโดยการฝึกอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ใช้พัฒนาด้านการเกษตรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากจีนมีพื้นที่ทางการเกษตรไม่มาก นอกจากนั้น ทางบริษัท Shanghai Ruilong Automobile Technology Co., LTD ยังได้ออกแบบยานพาหนะและเครื่องมือเพื่อใช้ในการเกษตรในราคาที่เกษตรกรมีกำลังซื้อได้ ซึ่งการขจัดปัญหาความยากจนของจีนนั้น เริ่มต้นด้วย 1) การบรรเทาปัญหาความยากจน 2) การขจัดความยากจน เมื่อขจัดความยากจนได้แล้ว แต่ยังอยู่ในภาคเกษตรกรรม ก็จะพัฒนาภาคเกษตรกรรมไปสู่ภาคเกษตรอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มรายได้และผลตอบแทนให้มากยิ่งขึ้น
ถ้ามีโอกาสที่นักธุรกิจจีนจากการแนะนำของทางสมาคมได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมไทยในด้านสาธารณะประโยชน์ตามแนวทางของคณะกรรมาธิการฯ หรือมูลนิธิแก้จน เช่น การสนับสนุนการทำฝายแกนดินซีเมนต์ เป็นต้น

ประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้กล่าวว่า การพบหารือกับคณะผู้แทนนักธุรกิจจีนในครั้งนี้ หวังว่าจะได้มีแนวทางความร่วมมือในการส่งเสริมให้นักธุรกิจชาวจีนมาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะด้านการเกษตร เพราะประเทศไทยมีพื้นที่ทางการเกษตรเป็นจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากประเทศจีน สิ่งที่ประเทศไทยยังขาดแคลนและมีความต้องการคือ 1) ทุน 2) เทคโนโลยี และ 3) การตลาด ประเทศไทยสามารถเป็นฐานการผลิตส่วนหนึ่งในการผลิตพืชผลทางการเกษตรป้อนตลาดจีนได้ ซึ่งควรเป็นเกษตรอินทรีย์ที่มีความปลอดภัยกับทั้งเกษตรกรผู้ผลิต ผู้บริโภค และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย และหวังว่าจะได้มีความร่วมมือกันในอนาคตอันใกล้นี้

ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า “ ระบบการทำการเกษตรในประเทศไทยในภาพรวมมีความอ่อนแอและล้าหลัง การผลิตจำนวนมากยังเป็นการทำการเกษตรขนาดเล็ก เป็นการผลิตที่ซ้ำซาก มีการใช้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อการเพิ่มผลผลิตน้อย และขาดแคลนอุตสาหกรรมแปรรูปในพื้นที่ ดังนั้นการบรรเทาปัญหาความยากจนและการแก้ปัญหาความยากจนของไทย นอกเหนือจากตัวเกษตรกรที่ต้องมีทัศนคติเรื่องความขยันขันแข็ง การทำงานหนัก และการพึ่งพิงตนเองแล้ว ยังต้องอาศัยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และ ที่สำคัญคือต้องอาศัยสถาบันด้านวิชาการ มหาวิทยาลัยและนักธุรกิจไทยเข้าร่วมในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งด้วย นอกจากนี้ เราควรสนใจในการเพิ่มบทบาทของนักธุรกิจจากต่างประเทศ ให้มากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน หากเราสามารถแสวงหาความร่วมมือจากธุรกิจต่างประเทศที่สนใจลงทุนด้านการเกษตร สมัยใหม่ที่จะมาทำงานกับกลุ่มเกษตรกรของไทยบนพื้นฐานของความร่วมมืออย่างเสมอภาคกัน โดยได้รับการสนับสนุนในเรื่องของเงินทุน เมล็ดพันธุ์ เทคโนโลยีการผลิต และตลาดส่งออก โอกาสที่เกษตรกรไทยจะลืมตาอ้าปาก และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นก็มีความเป็นไปได้มาก”

0 Shares

“ส่อง สว.ใหม่ ความหวังหรือวิกฤติครั้งใหม่” หนุน กกต. ประกาศรับรองผลก่อนแล้วสอยทีหลัง

“ส่อง สว.ใหม่ ความหวังหรือวิกฤติครั้งใหม่” หนุน กกต. ประกาศรับรองผลก่อนแล้วสอยทีหลัง

วงเสวนา “ส่อง สว.ใหม่ ความหวังหรือวิกฤติครั้งใหม่” หนุน กกต. ประกาศรับรองผลก่อนแล้วสอยทีหลัง หวั่นยืดอายุ สว.ปัจจุบัน ชี้ 8 ก.ค. ไม่ควรนัดประชุมวุฒิสภา เพราะทำให้สังคมสงสัยต้องการลากยาวเพื่อหวังเลือกกรรมการองค์กรอิสระ เชื่อ สว.ใหม่ แม้หน้าตาไม่ดีแต่มีความหวัง ชี้อาจแก้ รธน. เปลี่ยนระบบเลือกใหม่ ด้าน “นันทนา” ชี้ สว.สีน้ำเงินเพียบ มองนิยามศึก “โหดเหี้ยม หักหลัง ฮั้ว” นัดคุย 30 ว่าที่ สว. อุดมการณ์ตรงกันวันนี้ เล็งเสนอเลือกองค์กรอิสระ ให้แสดงวิสัยทัศน์แบบประกวดนางงาม / แฉขั้นตอนระดับประเทศ มือมืดต่อสายล็อกโหวตแลกจ่าย 2 แสน


เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ทำการชั่วคราวสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย อาคารบางซื่อจังชั่น (ตึกแดง) ถนนกำแพงเพชร 2 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดราชดำเนินเสวนา ครั้งที่ 2/2567 หัวข้อ “ส่อง สว.ใหม่ ความหวังหรือวิกฤตครั้งใหม่” โดยมีวิทยากรผู้บรรยาย ประกอบด้วย นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส ว่าที่สมาชิกวุฒิสภา และนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล ว่าที่สมาชิกวุฒิสภา

-หนุนประกาศก่อนสอยภายหลัง

ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวว่า วันนี้ กกต.ยังไม่มีการประกาศ สว.ชุดใหม่ออกมา ถึงแม้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 (พรป.สว.) ไม่ได้เขียนกรอบเวลาไว้ และยิ่ง กกต.ยังไม่มีการสื่อสารกับประชาชน ก็อยู่ในท่ามกลางความคลุมเครือที่หลายคนมองมา โดยสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากระบบการเลือกที่ซับซ้อนที่สุดในโลก ซึ่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญไม่ต้องการให้เลือกตั้งโดยตรง เพราะกลัวฝ่ายการเมืองจะไปมีบทบาทในสภาสูง แต่หากเป็น สว.แต่งตั้งก็จะกลายเป็นรัฐบาลควบคุม สว.อีก จึงมาแนวทางเลือกกันเองที่เชื่อว่าจะได้ สว.ที่มาจากตัวแทนทุกกลุ่มอาชีพ และสุดท้ายใครจัดตั้งจะได้เปรียบซึ่งเรื่องนี้มีแน่นอน เพราะบางจังหวัดมี สว.มากเกินไป หรือมีจำนวน 13 จังหวัดที่ไม่มี สว.แม้แต่คนเดียว ส่วน จ.บุรีรัมย์มี สว.มากที่สุด 14 คน

“การไม่ประกาศผล สว.ชุดใหม่ คือการที่ สว.ชุดปัจจุบันยังมีอำนาจต่อไป และถามว่าทำไมมีเครือข่ายบ้านใหญ่มาลงกันมา เพราะ สว.สามารถเลือกองค์กรอิสระ หรือไปถึงการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งคล้ายกับปี 2540 ที่ฝ่ายการเมืองส่งคนเข้ามาเป็น สว.”ผศ.ดร.ปริญญา กล่าว

ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวต่อว่า กกต. ควรประกาศรับรอง สว. 200 คน หรือไม่ครบก่อนก็ได้ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนไว้ ก็แปลว่าต้องครบ 200 คนหรือไม่ หรือประกาศเท่าที่ประกาศก่อนได้ แต่ถ้ามีการสืบสวนจะทำให้การประกาศลากยาวไปหรือไม่ ดังนั้นเสนอว่า กกต.ควรสื่อสารกับประชาชนว่า จะขอเวลาหากมีเรื่องร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก และหากใครมีหลักฐานก็จะไปสอย จึงเชื่อว่าประชาชนก็จะรับได้ สิ่งสำคัญ กกต.ต้องแจ้งว่าจะใช้กรอบเวลากี่วันถึงจะประกาศออกมา ไม่ใช่ให้ประชาชนรอไปเรื่อยๆ ถ้า กกต.ประกาศช้า สว.ชุดปัจจุบันยิ่งอยู่ในวาระต่อไป

“กกต.ควรประกาศ สว.ไม่ควรนานกว่า สส. คือ 60 วัน แต่ถ้ามีหลักฐานชัดแจ้ง แต่ถ้า กกต.อยากขอเวลาเพิ่มก็เชื่อว่า ประชาชนก็ให้ได้ แต่ไม่ควรแขวนไปเรื่อยๆ”ผศ.ดร.ปริญญา กล่าว

ส่วนกระแสข่าว สว.สีน้ำเงิน ครอบงำสภาสูงมีจริงหรือไม่ นายปริญญา กล่าวว่า เป็นการคาดการณ์และสันนิษฐานกับความเกี่ยวข้องของเครือข่าย แต่ไม่อยากให้สรุปว่า สว.ชุดนี้ใช้ไม่ได้ และต้องเลือกกันใหม่ ทั้งนี้ สว.ชุดใหม่ ถือเป็นความหวัง เพราะมีที่มาหลากหลาย แม้จะมีข้อครหา แต่ กกต. ควรจะเร่งประกาศรับรองผล เพราะหากต้องรอให้บริสุทธิ์ผุดผ่องทุกคนอาจต้องรอข้ามปี จะยิ่งเป็นการลากยาวให้กับ สว.ชุดปัจจุบัน ขณะที่ระยะเวลาอันใกล้นี้จะมีการเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 2 คน จึงอาจถูกมองได้ว่าลากยาวเพื่อเหตุนี้ ส่วนการนัดประชุม สว. วันที่ 8 ก.ค.นี้ ต้องถามว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่

นายปริญญาทิ้งท้ายว่าการเลือก สว. ระบบนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้าย น่าจะมีการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นตรงกัน

-“นันทนา” สับ สว.ชุดเก่าอย่าดิ้นรน

รศ.ดร.นันทนา กล่าวว่า อาชีพแรกของตนเป็นผู้สื่อข่าวในนิตยสารอาทิตย์สยามใหม่ และสื่อก็เป็นอาชีพเงินน้อยและงานหนัก ทำให้บทบาทของ สว.ของตนจะไปผลักดันในเรื่องนี้ นอกจากนี้เห็นด้วยที่ กกต.จะประกาศไปก่อนและสอยภายหลัง แต่หากรับรองช้าอาจจะไปร้อง กกต.บ้างได้หรือไม่ ขณะเดียวกันตามที่ สว.ชุดปัจจุบันที่มาเปิดประชุมเพื่อตรวจสอบการได้มาของสว.ชุดใหม่ จะถือว่าใช่หน้าที่หรือไม่ ดังนั้น ถ้า สว.ชุดใหม่เข้าไปจะเปิดสภา เพื่อตรวจสอบการได้มาของ สว.ชุดเก่าได้หรือไม่ ดังนั้นโดยมารยาทแล้ว สว.ชุดเก่าควรยุติบทบาทและไม่ดิ้นรนต่อไป

”การได้มาของ สว.ครั้งนี้พิสดารและวิปริตที่สุดในโลก จึงไม่ควรมาใช้กับการคัดเลือกกับผู้ที่มาทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะเป็นเหมือนเล่นเกมโชว์ไปรับรางวัลใหญ่ จึงขอเรียกวิธีการคัดเลือกเป็นประเภทว่า โหด เหี้ยม หักหลัง และฮั้ว ที่ผ่านมายังไม่มีการกำหนดคุณสมบัติผู้คัดเลือก ทั้งที่อย่างน้อยต้องกำหนดให้มีความรู้ขั้นต่ำในระดับปริญญาตรี เพราะหากไม่รู้จะตรวจสอบกฎหมายได้อย่างไร ก็เห็นว่าจะได้คนที่ไม่มีคุณภาพและไม่ตรงปกมาทำงานฝ่ายนิติบัญญัติ“รศ.ดร.นันทนา กล่าว

-ขอผลักดันถ่ายทอดสดประชุม สว.ทุกคณะ

รศ.ดร.นันทนา กล่าวอีกว่า สำหรับกติกาคัดเลือก สว. ครั้งนี้ ตนก็ไม่เห็นด้วย การเลือกกันเองในครั้งนี้อาจไม่ได้คนไม่มีคุณภาพ ตนเห็นว่าอยากให้ประชาชนตัดสินใจเลือก สว.กันเองดีกว่าหรือไม่ เพราะอำนาจที่ไหนไม่ปลอดภัยเท่ากับอยู่ที่ประชาชน นอกจากนี้ที่ผ่านมา ได้รวมกลุ่มว่าที่ สว.ที่มีอุดมการณ์ร่วมกับตนอยู่ที่ประมาณ 30 คน ถึงจะมีจำนวนน้อยก็ไม่เป็นไรเพราะถือว่าเป็นความหวัง ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า สว.สายสีน้ำเงิน เข้ามามากที่สุดนั้น ถือเป็นเรื่องเจ็บจี๊ดและมีจริง

“ดิฉันเปิดโอกาส สว.ยุคใหม่ต้องสื่อสารกับประชาชน และเรียกร้องให้ถ่ายทอดสดการประชุม สว.และการประชุมกรรมาธิการทุกนัด เพราะหาก สว.รู้อะไร ประชาชนต้องรู้เหมือนกัน รวมถึงการเลือกองค์กรอิสระต้องแสดงวิสัยทัศน์ และถ่ายทอดสดให้ประชาชนได้ดู เพื่อความโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนสนใจการประชุมของ สว.มากขึ้น เป็นความหวัง”รศ.ดร.นันทนา กล่าว

-แฉจ่ายเงินแสนแลกล็อกโหวต

ขณะที่ นายสมชัย กล่าวว่า วันนี้มาพูดในฐานะอดีต กกต.และอดีตผู้สมัคร สว. ก็จะเห็นกระบวนการคัดเลือกสว.ครั้งนี้ ซึ่งเจตนารมณ์การออกแบบกติกาการคัดเลือกตั้งการ สว.เพื่อให้ได้กลุ่มอาชีพที่หลากหลาย แต่ภายใต้การออกแบบทั้งหมดตั้งแต่รัฐธรรมนูญ พรป.สว. จนถึงระเบียบ กกต.ก็ถือว่าเราได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ เกินกว่าครึ่งว่าที่ สว.ดูเหมือนว่า ถูกแทรกแซงจากกลุ่มการเมือง ทำให้ความเป็นกลางจะไม่เกิดขึ้นตามสิ่งที่ตั้งไว้

นายสมชัย กล่าวว่า แต่ในขั้นตอนระดับประเทศมีผู้สมัครที่เป็นอิสระได้รับการติดต่อจากโทรศัพท์จากคนกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเพื่อจะเสนอตัวเลขให้มาอยู่กลุ่มเดียวกัน มีค่าโรงแรม ค่าเครื่องบินออกให้ ให้เงิน 1-2แสนบาทถ้าไปถึงรอบสุดสายเพื่อเลือกคนตามบัญชีในโพยที่ให้ไว้ โดยพบว่าจะมีโพยสำเร็จรูปไม่ว่าอยู่ในกลุ่มไหนใน 20 กลุ่มก็จะกำหนดว่าต้องเลือกใคร โดยโพยเหล่านี้ไม่มีการพิมพ์ แต่ให้จดด้วยลายมือ โดยลำดับที่ 1-7 จะมีคะแนนเกาะเป็นกลุ่ม เพราะบัตรที่ใช้เลือกรอบบ่ายจะมีเพียง 5 เบอร์เท่านั้น ก็เป็นกระบวนการที่เป็นปัญหาเกิดขึ้นจึงเห็นว่าคนกลุ่มนี้มีคะแนนสูงที่มาจากโพย

นายสมชัย ยังกล่าวถึงการทำหน้าที่ กกต.ว่า ที่ผ่านมา กกต.บอกว่า รู้ทั้งหมดว่ามีการประชุมที่ไหน และมีสายลับทั้งหมด ทำให้ราคาคุยของ กกต.มีไม่น้อย แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอาจทำให้สังคมรู้สึกว่าจะมี กกต.ไปทำไม และคงต้องมีราคาที่ต้องจ่ายกลับไม่น้อย แต่เชื่อว่า กกต.จะประกาศรับรองแน่นอนและประกาศจนครบ แล้วไปดูหลักฐานเพื่อสอยภายหลัง

“สว.ไม่ได้หน้าตาดีทั้งหมด แต่หน้าตาดีก็มีเยอะ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าจะทำงานไม่ได้ ถึงแม้จะคิดว่ามีคุณสมบัติแบบนี้มาเป็น สว.แต่ต้องยอมรับกติกาที่เกิดขึ้น ส่วนตรงไหนเป็นปัญหาต้องหาทางแก้ไขต่อไป“นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวว่า อนาคต สว. ยังมีความหวัง แม้ไม่ได้หน้าตาดีหมด แต่อนาคตทางการเมืองไทยถือว่าวิกฤติ ทั้งนี้อย่าเพิ่งคิดว่า ว่าที่ สว.ใหม่ทำงานไม่ได้ มีที่มาไม่ชอบมาพากล ต้องยอมรับถึงผลและกติกาที่เกิดขึ้น ซึ่งก็หาทางแก้ไขต่อไปในอนาคต และมองว่าการนัดประชุมวุฒิสภา 8 ก.ค.นี้ จะมาขยันอะไร ตั้งคำถามว่าการตั้งกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษา ตรวจสอบ การเลือก สว.67

-ว่าที่ สว.ไม่ตรงปก 20 คน

ด้าน นายไชยยงค์ กล่าวว่า แม้ตนจะมาเป็นที่หนึ่งในการเลือกรอบแรกของสายสื่อมวลชนในระดับประเทศ แต่ที่ผ่านมาตนชนถูกสกัดมาตั้งแต่ระดับจังหวัด ก็สามารถผ่านมาในรอบแรกได้ จนมาถึงรอบไขว้ก็ยังสามารถผ่านมาได้จนถึงระดับประเทศอันดับสอง แต่ไม่มีใครโทรศัพท์มาหา เพราะคงไม่มีใครอยากจะคุยด้วยเนื่องจากเป็นสื่อมวลชน และทราบว่ากลุ่มนักกฎหมายก็ไม่มีใครโทรศัพท์มาหาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ต่อให้ผู้สมัครโปรไฟล์ดีแต่ไม่มีการคุยกันก็ไม่มีคนเลือก ซึ่งเป็นไปตามลักษณะสังคมไทย จึงต้องมีการพูดคุยปฏิสัมพันธ์กับคนกลุ่มอื่นๆ เพื่อหวังว่าคนเหล่านี้ถ้ามาถึงรอบสุดท้ายจะมีการแลกคะแนนกัน

นายไชยยงค์ กล่าวต่อว่า จากนี้ต้องรอว่า กกต.จะประกาศรับรองเมื่อไหร่ แต่ สว.ชุดใหม่ใน 200 รายชื่อมองว่าจะมีคนไม่ตรงปกประมาณ 20 คน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการมีคนทุกสาขาอาชีพจะมาสะท้อนปัญหาต่างๆ ของสังคมได้ดีกว่า ในฐานะมีประสบการณ์ที่สะท้อนจากอาชีพ ดังนั้น สว.ชุดใหม่ก็ถือว่าเป็นความหวังของประเทศ

“ผู้ที่เป็นประธานเลือก สว.ก็จะเป็นลางบอกเหตุได้ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งสังคมจะเห็น สว.ชุดนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเป็นที่คาดหวังของประชาชนได้หรือไม่”นายไชยยงค์ กล่าว

นายไชยยงค์ ยังเห็นว่าประเทศไทยยังไม่สามารถที่จะฝากการแก้วิกฤติไว้กับการมี สว. ครั้งนี้ได้ แต่ สว.ชุดนี้อาจจะไปทำให้สามารถที่จะขับเคลื่อน แก้ปัญหาบางสิ่งบางอย่าง ให้ดีกว่าที่ผ่านมา และเห็นว่าจำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญหากมีช่องทาง ซึ่งส่วนตัวมีจุดยืนสนับสนุนแก้ไขรัฐธรรมนูญ

สำหรับการจัดกิจกรรมราชดำเนินเสวนานั้น เป็นเวทีสร้างความรู้ ความเข้าใจ ระหว่างนักข่าวกับแหล่งข่าวในประเด็นต่างๆ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยเชิญสื่อมวลชนทุกแขนงเข้าร่วมฟัง มีเป้าหมายในการพัฒนา และส่งเสริมคุณภาพการทำงานข่าวในปัจจุบัน บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง

0 Shares

”สว.สถิตย์” จัดเต็มซักฟอกรัฐบาล 5 ด้าน ในการประชุมวุฒิสภา

”สว.สถิตย์” จัดเต็มซักฟอกรัฐบาล 5 ด้าน ในการประชุมวุฒิสภา

เมื่อวันที่ 25 มี.ค. วาระการเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา เพื่อให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) แถลงข้อเท็จจริง หรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 153 โดยนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา ได้อภิปรายให้รัฐบาลแถลงข้อเท็จจริง 5 ด้าน
​ด้านแรก การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

สว.สถิตย์ ได้แสดงข้อเท็จจริงว่า เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น คือ ร้อยละ 3.5 โดยชี้ให้เห็นว่าการลงทุนที่ผ่านมาเป็นยักษ์หลับในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเห็นได้จาก สัดส่วนการลงทุนในงบประมาณ และสัดส่วนการลงทุนรวมใน GDP ไม่เพียงพอ อีกทั้งด้านการส่งออก ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งปรากฏว่าสินค้าส่งออก กลายเป็นเครื่องจักรเก่าทางเศรษฐกิจเป็นสินค้าล้าสมัยไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีและความต้องการของตลาดโลกในปัจจุบัน ในขณะที่รัฐบาลมี “นโยบายจะสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ”

​สว.สถิตย์ได้ตั้งคำถามว่า “รัฐบาลจะมีนโยบายเชิงโครงสร้าง ทำให้เศรษฐกิจโตเต็มศักยภาพ หรือมากกว่านั้นได้อย่างไร”

​ด้านที่ 2 การเติบโตอย่างทั่วถึง
สว.สถิตย์ ได้อภิปรายว่า การเติบโตที่ดี ต้องเป็นธรรมและทั่วถึง ทั้งมิติค่าสัมประสิทธิ์ความเสมอภาค มิติรายได้ มิติรายจ่าย และมิติเชิงพื้นที่ซึ่ง 15 จังหวัดขนาดใหญ่มีสัดส่วนใน GDP ถึงร้อยละ 70 ขณะที่อีก 62 จังหวัดที่เหลือ มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 30 นอกจากนี้ระเบียงเศรษฐกิจทั้ง ระเบียงฯภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง-ภาคตะวันตก และภาคใต้ ยังขาดการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ในขณะที่รัฐบาลมี “นโยบายจะพัฒนาพื้นที่ และเมืองให้เกิดการกระจายความเจริญ และกิจกรรรมทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาค”
สว.สถิตย์ได้ตั้งคำถามกับประเด็นนี้ว่า “รัฐบาลจะมีเป้าหมาย ในการลดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ ให้กับ 62 จังหวัดที่เติบโตน้อยได้อย่างไร” และ “ใน 6 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลได้ “ดำเนินการผลักดันการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 4 ภาคอย่างไร และมีแผนที่จะดำเนินการต่อไปอย่างไร”
ในเรื่องการกระจายอำนาจการคลังสู่ท้องถิ่น ซึ่งมีเป้าหมายให้สัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร้อยละ 35 ของรายได้รัฐบาล แต่การจัดสรรรายได้ใน 10 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยเพียงร้อยละ 29 ในขณะที่รัฐบาลมี “นโยบายจะกระจายอำนาจเพื่อสร้างประสิทธิภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่”

นายสถิตย์ตั้งคำถามว่า “รัฐบาลมีนโยบายและแผนที่จะจัดสรรรายได้ท้องถิ่นให้ถึงร้อยละ 35 ของรายได้รัฐบาลหรือไม่ อย่างไร”
​ด้านที่ 3 ซอฟต์พาวเวอร์
สว.สถิตย์ ให้ข้อเท็จจริงว่า รัฐบาลสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ 11 สาขาได้แก่ อาหาร, แฟชั่น, การออกแบบ, ศิลปะ, หนังสือ, ภาพยนตร์, เฟสติวัล, ดนตรี, ท่องเที่ยว, กีฬา และเกมส์ จัดแบ่งเป็น 54 โครงการ งบประมาณกว่า 5 พันล้านบาท โดยมีเป้าหมายสร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง สร้างรายได้ 200,000 บาทต่อครอบครัวต่อปี
สว.สถิตย์ ได้อภิปรายว่า ซอฟต์พาวเวอร์ตามตำรามี 3 เรื่อง คือ ค่านิยมการเมือง นโยบายต่างประเทศ และวัฒนธรรม ประเทศไทยคงต้องเน้นหนักไปทางด้านวัฒนธรรมสร้างสรรค์ เพื่อโน้มน้าวจูงใจให้ประเทศอื่นคล้อยตามโดยสมัครใจ อันเป็นลักษณะของซอฟต์พาวเวอร์หรืออำนาจนุ่มนวลที่ไม่ต้องใช้กำลังทหาร หรือการบีบบังคับทางเศรษฐกิจ อย่างเช่นอำนาจแข็งกร้าว หรือฮาร์ดพาวเวอร์
สำหรับ 11 สาขาที่รัฐบาลจำแนกไว้ต้องมองโดยรวมอย่างบูรณาการเพื่อสะท้อน “ความเป็นไทย” ให้ประเทศอื่นหลงใหลยอมทำตามสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมสร้างสรรค์ของไทย โดยไม่ต้องบังคับ เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่นที่ส่งเสริม Cool Japan ไม่ว่าจะเป็นอาหาร แฟชั่น ภาพยนตร์ ก็อยู่ในธีมของ Cool Japan หรือเกาหลีที่เน้นธีม Korean Wave หรือคลื่นเกาหลี ไม่ว่าจะเป็น K-Drama K-Pop K-Culture ด้วยเหตุนี้ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยจะต้องมุ่งเน้นไปที่ “ความเป็นไทย” ส่วน 11 สาขา เป็นเพียงองค์ประกอบ

สว.สถิตย์อภิปรายต่อว่า รัฐบาลยังมีนโยบายที่จะจัดตั้งองค์กรคอนเทนต์ที่เรียกว่า THACCA โดยให้ข้อคิดเห็นว่าต้องเป็นองค์กรในการพัฒนาระบบนิเวศน์ ทั้งในเรื่องการปลดปล่อยกฏระเบียบ การส่งเสริมเทคโนโลยี การพัฒนากองทุน การร่วมมือกับภาคเอกชน และการส่งออกวัฒนธรรม
สว.สถิตย์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ซอฟต์พาวเวอร์ คือ หนทางในการนำทุนทางวัฒนธรรมไปสู่ความสำเร็จในเวทีโลก พัฒนาวัฒนธรรมไทยให้มีความเป็นสากลระดับโลก เอารสนิยมความต้องการตลาดโลกเป็นที่ตั้ง และปรับความเป็นไทยให้สอดคล้องกับตลาดโลก ต้องตั้งเป้าหมายการส่งออกวัฒนธรรมสร้างสรรค์ให้เป็นรายได้หลักของประเทศ ต้องทำให้ซอฟต์พาวเวอร์ ของไทยโดดเด่นในโลกท่ามกลางคู่แข่งที่สำคัญ ในขณะที่รัฐบาลมี “นโยบายจะสร้างพลังสร้างสรรค์หรือซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศและสร้างรายได้ผ่านการส่งเสริม 1 ครอบครัว 1 ทักษะซอฟต์พาวเวอร์”
​สว.สถิตย์ตั้งคำถามว่า “รัฐบาลมีนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ในการบูรณาการนโยบาย ซอฟต์พาวเวอร์ 11 สาขาอย่างไร และได้มีการพัฒนาทักษะ 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ไปแล้วมากน้อยเพียงใด ผ่านกลไก หรือหน่วยงานใด และรัฐบาลจะดำเนินการจัดตั้ง THACCA เมื่อใด โดยวิธีการใด”
ด้านที่ 4 รัฐบาลดิจิทัล
สว.สถิตย์อภิปรายว่า ดิจิทัลเทคโนโลยี คือพลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็ว สร้างโอกาสมหาศาลให้กับรัฐบาลทั่วโลก สร้างความมั่งคงให้ประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ ในขณะเดียวกันก็ลดค่าใช้จ่ายภาครัฐอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งที่รัฐบาลต้องผลักดัน คือ บัตรประชาชนดิจิทัลและเป็นบัตรเดียวที่ใช้ยืนยันตัวตน ในการติดต่อรับบริการภาครัฐ ทั้งสวัสดิการ การเงิน สุขภาพ การศึกษา การเดินทาง เป็นต้น
ในเรื่องการใช้คลาวด์ รัฐบาลต้องผลักดันแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ ของภาครัฐ ให้เป็นแพลตฟอร์มการทำงานยุคใหม่บนคลาวด์ และจะต้องให้แต่ละกระทรวงมีศูนย์กลางคลาวด์ที่เดียว ส่วนหน่วยงานเล็กๆ ให้รวมที่คลาวด์กลางของรัฐบาลเพื่อความเป็นเอกภาพ และลดค่าใช้จ่ายภาครัฐลงไปได้มาก นอกจากนี้ ควรจะรวมสำนักงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลดิจิทัลทั้งหมดมาไว้ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในขณะที่รัฐบาลมี “นโยบายจะนำเอาเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อประโยชน์ของประเทศ และประชาชน”
​สว.สถิตย์ตั้งคำถามว่า “รัฐบาลจะผลักดันการใช้ดิจิทัลไอดี ให้ครบถ้วนทุกหน่วยงานภาครัฐ เมื่อใด อย่างไร และจะผลักดันให้บูรณาการ การใช้คลาวด์หรือไม่ อย่างไร และจะรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลมาไว้ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือไม่ อย่างไร”
​ด้านที่ 5 การพ้นกับดักรายได้ปานกลาง
สว.สถิตย์ ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางของประเทศต่างๆว่า อิตาลี ใช้อุตสาหกรรมอาหาร การท่องเที่ยว และ SME ไต้หวัน เน้นอุตสาหกรรมไฮเทค และSME ส่วนเกาหลี จากอุตสาหกรรมหนักไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ด้านมาเลเซียมีวิสัยทัศน์ 2020 ใช้อุตสาหกรรมไฮเทคเป็นตัวนำ เวียดนามและอินโดนีเซีย ประกาศจะพ้นกับดักรายได้ปานกลางในปี ค.ศ. 2045 ครบ 100 ปี หลังจากได้รับเอกราช ส่วนประเทศไทย แต่เดิมมีวิสัยทัศน์จะก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางในปี พ.ศ. 2580 แต่มาสะดุดกับสถานการณ์โควิด-19 คงต้องขยายเวลาออกไป
​สว.สถิตย์ได้ตั้งคำถามว่า “รัฐบาลจะมีวิสัยทัศน์ และเป้าหมาย ในการทำให้ประเทศพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางหรือไม่ อย่างไร และเมื่อใด”

0 Shares

มนพร หนุนสร้างท่าเทียบเรือ กระตุ้นท่องเที่ยวทะเลบัวแดง

มนพร หนุนสร้างท่าเทียบเรือ กระตุ้นท่องเที่ยวทะเลบัวแดง

หนุนพัฒนาท่องเที่ยวทะเลบัวแดง มนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม นำทีมคมนาคม กรมเจ้าท่า ลงพื้นที่ติดตาม การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอันซีนอีสาน ทะเลบัวแดงหนองหาน อ.กุมภวาปี อุดรธานี ขานรับนโยบายรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว หนุนพัฒนาก่อสร้างท่าเทียบเรือ ดูแลอำนวยความสะดวก สร้างมาตรฐานความปลอดภัย แก่ประชาชน นักท่องเที่ยว


ด้านเทศบาลตำบลเชียงแหว เสนองบกว่า 14 ล้านบาท ก่อสร้างท่าเทียบเรือเพิ่ม กรมเจ้าท่า รับข้อเสนอหารือพิจารณาเร่งด่วน พบตัวเลขนักท่องเที่ยวปีละเกือบล้านคน สร้างเงินสะพัดปีละเกือบ 10 ล้านบาท

0 Shares

คมนาคม ทุ่มงบกว่า 600 ล้าน ขยายถนน อุดร-สระใคร

คมนาคม ทุ่มงบกว่า 600 ล้าน ขยายถนน อุดร-สระใคร

เร่งพัฒนาเส้นทางคมนาคม สุริยะ รมว.คมนาคม – มนพร รมช.คมนาคม นำทีม คมนาคม ลุย ครม.สัญจร อุดรธานี หนองบัวลำภู ติดตามโครงการขยายช่องทางจราจร จาก อ.เมืองอุดรธานี ไป อ.สระใคร ระยะทางกว่า 15 กิโลเมตร งบกว่า 600 ล้านบาท แก้ปัญหาการจราจรแออัด เส้นทางหลัก เชื่อมเส้นทางเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว ยันแล้วเสร็จก่อนปีใหม่ พร้อมเปิดใช้งานเป็นทางการ

เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม พร้อมด้วย ดร.มนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ส.ส.เขต 2 นครพนม พรรคเพื่อไทย นำทีมกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่รับทราบปัญหา ติดตามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเส้นทางคมนาคม ขนส่งเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว กลุ่มจังหวัดอีสานตอนบน

ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ นอกสถานที่ จ.อุดรธานี และ จ.หนองบัวลำภู ระหว่าง วันที่ 3-4 ธ.ค.
ในโอกาสนี้ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตาม โครงการก่อสร้างถนนทางหลวงหมายเลข 2 ช่วง อ.เมืองอุดรธานี กับ อ.สระใคร จ.อุดรธานี ระยะทาง ประมาณ 15 กิโลเมตร

โดยกระทรวงคมนาคม อนุมัติงบประมาณกว่า 600 ล้านบาท ในการพัฒนาขยายช่องทางจราจรจาก 4 เลน เป็นถนน 6 เลน เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรแออัด บนเส้นทางระหว่างจ.อุดรธานี ไป หนองคาย รองรับการพัฒนาด้านคมนาคม เศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว อีสาน ทั้งนี้ทางแขวงทางหลวงที่ 1 อุดรธานี ยืนยันแล้วเสร็จก่อนปีใหม่ พร้อมเปิดใช้งานเป็นทางการ

0 Shares

รมช.คมนาคม ตัวแทนประเทศไทยไปประชุมคณะมนตรี (Council) ครั้ง 130 ขององค์การประชุมสมัชชาทางทะเล ที่กรุงลอนดอน เพื่อหาเสียงสนับสนุนการเลือกตั้งให้ไทยเป็นสมาชิกฯ

รมช.คมนาคม ตัวแทนประเทศไทยไปประชุมคณะมนตรี (Council) ครั้ง 130 ขององค์การประชุมสมัชชาทางทะเล ที่กรุงลอนดอน เพื่อหาเสียงสนับสนุนการเลือกตั้งให้ไทยเป็นสมาชิกฯ

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เดินทางไปร่วมประชุมคณะมนตรี ( Council) ครั้งที่ 130 การประชุมสมัชชา( Assembly) ครั้งที่ 33 และการประชุมมนตรี ( Council) ครั้งที่ 131 ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ ( IMO ) ซึ่งได้จัดการประชุมขึ้น ที่สำนักงานใหญ่ ของ IMO กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมื่อเร็วๆนี้ โดยมีนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม

นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย นายสรพันธ์ คุณากรวงศ์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายดำรงเกียรติ เกียรติโอภาส นักวิชาการขนส่งชำนาญการพิเศษ กรมเจ้าท่า นักวิชาการขนส่งชำนาญการ กองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม และ น.ท.รชาเศรษฐ์ ศิริวัฒน์ทัศน์เจ้าพนักงานตรวจท่าชำนาญ กรมเจ้าท่า ร่วมคณะไปด้วย

นางมนพรกล่าวว่า การเดินทางมาประชุมครั้งนี้มาเป็นตัวแทนประเทศไทย เพื่อหาเสียงในการประชุม IMO ซึ่งเป็นทบวงการชำนาญพิเศษแห่งสหประชาชาติ ทำหน้าที่เป็นองค์กรกลางในการกำหนดมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยทางทะเล ความมั่นคง และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมจากการเดินเรือ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกในการปฏิบัติตามมาตรฐานและแนวปฏิบัติภายใต้อนุสัญญาฉบับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง กับประเทศสมาชิก ซึ่งมีทั้งหมด 175 ประเทศและในการประชุมครั้งนี้ ถือว่าสำคัญมาก สำหรับประเทศไทย

เพราะเป็นการมาหาเสียงในการเลือกตั้ง คณะมนตรี ( Council) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารงานของ IMO ที่ประกอบด้วยผู้แทนสมาชิกจำนวน 40 ประเทศ ซึ่งมีวาระการทำงาน 2 ปี เพื่อทำหน้าที่พิจารณาอนุมัติแผนงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางทะเล และประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก ตั้งแต่ 20 ก.ย. 2516 จนถึงวันนี้ก็ 50 ปีแล้ว

0 Shares