คลังเก็บหมวดหมู่: เศรษฐกิจ

วว. เพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสุขภาพ

วว. เพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย
พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสุขภาพ

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) มุ่งเน้นนำสมุนไพรไทยมาวิจัยและพัฒนาสกัดสารสำคัญ ทั้งที่อยู่ในรูปแบบขององค์ความรู้และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่หลากหลายชนิด ผ่านการดำเนินงานวิจัยและพัฒนา โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร วว. ดังนี้ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพรไทยป้องกันโรคตับ วิจัยและพัฒนาจากสารสกัดพืชสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่ พริกไทย ผักบุ้ง และขมิ้นชัน พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ด ที่ออกฤทธิ์ในการป้องกันโรคตับจากสารเคมีและพิษจากแอลกอฮอล์

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระจากขมิ้นชัน มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสียหายต่อสุขภาพ เช่น การอักเสบของเซลล์และการทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ช่วยชะลอความเสื่อมชราหรือการแก่ของเซลล์และการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ

ผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการนอนหลับและบรรเทาอาการกรนด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรูไซเร็น มีส่วนประกอบสารสกัดจากผลลำใยที่สกัดด้วยเอทานอล มีประสิทธิภาพยับยั้งอนุมูลอิสระ ส่งเสริมให้นอนหลับได้ดี นานขึ้น และลดอาการนอนกรนได้ หลังจากรับประทานทุกวันในเวลา 1 สัปดาห์
ผลิตภัณฑ์นาโนเซรั่มบำรุงผิวหน้าเพื่อชะลอริ้วรอยแห่งวัยจากสารสกัดใบบัวบก มีประสิทธิภาพช่วยลดริ้วรอยแห่งวัย และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังหลังจากทดสอบเป็นระยะเวลา 48 ชั่วโมง

ผลิตภัณฑ์นาโนแฮร์โทนิคจากสารสกัดดอกคำฝอย โดยใช้เทคโนโลยีไมโครอิมัลชันของสาร Safflomin A ในสารสกัดดอกคำฝอย เพื่อกระตุ้นการงอกของเส้นผมและลดการเกิดผมร่วง

ผลิตภัณฑ์เจลลิ่งเพื่อลดรอยแตกลายผิวหนังหน้าท้องด้วยสารสกัดเพปไทด์จากแพะ และเซรั่มที่มีส่วนผสมของสารสกัดเห็ด กักเก็บในระบบนำส่งสารแบบไฟโตโซม เพื่อยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ

ผลิตภัณฑ์เจลสูตรลูกประคบ อยู่ในรูปแบบของเจล พัฒนาจากน้ำมันหอมระเหยสมุนไพรที่ใช้ในลูกประคบ เช่น ไพล ขมิ้นชัน มะกรูด ตะไคร้ เป็นต้น มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการปวดเมื่อย ปวดบวมจากกล้ามเนื้ออักเสบ เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ เช่นเดียวกับการประคบด้วยลูกประคบสมุนไพร

ผลิตภัณฑ์จากไพล ประกอบด้วย 1) ชุดสปา (โคลนพอกหน้า สครับสำหรับขัดผิวหน้าและตัว) ช่วยให้เซลล์แข็งแรง 2) ยาทาภายนอกแก้ฟกบวม ประกอบด้วย ชนิดลูกกลิ้ง และเจลไพลบาล์ม ช่วยต้านอาการอักเสบ ฟกบวม 3) รักษาสิว ช่วยรักษาสิว ลดอาการอักเสบ บวม 4) ผงสมุนไพร…อบตัว ประกอบด้วย สมุนไพรไพล ขมิ้น มะกรูด ตะไคร้ พิมเสน การบูร ใช้อบไอน้ำในตู้สมุนไพรหรือซาวน่า ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ บำรุงผิวพรรณ 5) ไพลจีนิค เป็นผลิตภัณฑ์แผ่นผ้าอนามัยเช็ดทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นภายนอกสำหรับสตรี มีผลช่วยยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อโรคสตรี 6) น้ำยาเช็ดพื้น สำหรับทำความสะอาดช่วยให้ปลอดเชื้อโรค และ 7) ไพลซิดัล ช่วยกำจัดเห็บ หมัด สำหรับสุนัข ได้ 100% ภายใน 30-60 นาที ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์แชมพู สเปรย์ และโลชั่น
วว. พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์จากสารสกัดสมุนไพรสู่เชิงพาณิชย์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ โทร. 0 2577 9000 หรือที่ “วว. JUMP”

0 Shares

นิว ฮอลแลนด์ ขยายเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายในประเทศไทย

นิว ฮอลแลนด์ ขยายเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายในประเทศไทย

นิว ฮอลแลนด์ เสริมความแข็งแกร่งในตลาดประเทศไทยอย่างต่อเนื่องด้วยการขยายเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายใหม่ 7 รายในพื้นที่เกษตรกรรมหลักของประเทศ

ผู้แทนจำหน่ายรายใหม่ของนิว ฮอลแลนด์ ได้แก่ บริษัท ศรีสวัสดิ์ แทรกเตอร์ จำกัด บริษัท เอเอสที มอเตอร์ จำกัด บริษัท ไทไทแทรกเตอร์ จำกัด บริษัท นิวแทรกเตอร์ ฉะเชิงเทรา จำกัด บริษัท ขอบคุณแทรกเตอร์ จำกัด บริษัท แทรกเตอร์ดำ จำกัด และบริษัท เจ พี ที ไทร์ จำกัด การขยายเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายใหม่ 7 รายทำให้ในปัจจุบัน นิว ฮอลแลนด์ มีผู้แทนจำหน่ายทั้งสิ้น 23 ราย 50 สาขาทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย

คุณนิรันดร์ ตั้งชูทองชัย ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด นิว ฮอลแลนด์ กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับผู้แทนจำหน่ายรายใหม่ของ นิว ฮอลแลนด์ เครือข่ายผู้แทนจำหน่ายของเรามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ขอขอบคุณสำหรับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นใน นิว ฮอลแลนด์ และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ทำงานร่วมกันในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยและการบริการที่มีคุณภาพแก่เกษตรกรในประเทศไทย”

คุณรัชฎาภร ทิพย์อุทัย ผู้จัดการบริษัทขอบคุณแทรกเตอร์ จำกัด อำเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ์ หนึ่งในผู้แทนจำหน่ายรายใหม่ในภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทยกล่าวว่า “อ้อยเป็นพืชที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในจังหวัดเพชรบูรณ์ ดังนั้นเกษตรกรจึงมีความต้องการรถแทรกเตอร์ที่เหมาะกับไร่อ้อยที่มีขนาดลำต้นสูง เราเชื่อว่า เราสามารถเจาะตลาดกลุ่มนี้ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ นิว ฮอลแลนด์ เป็นที่รู้จักในด้านประสิทธิภาพของเครื่องจักรกล ความทนทาน ตลอดจนการบริการหลังการขาย และรถแทรกเตอร์ของ นิว ฮอลแลนด์ ให้ทั้งความคุ้มค่าและคุ้มราคา”

บริษัท ศรีสวัสดิ์ แทรกเตอร์ จำกัด เป็นผู้แทนจำหน่ายในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นประตูสู่ภาคเหนือของประเทศไทย และเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตและการขนส่งผลิตผลทางการเกษตร นครสวรรค์ยังเป็นหนึ่งในจังหวัดที่เป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ยังมีพืชหลักอื่น ๆ เช่น อ้อย ข้าวโพด และมันสำปะหลัง

บริษัท เอเอสที มอเตอร์ จำกัด คือ หนึ่งในผู้แทนจำหน่ายที่เติบโตเร็วที่สุดในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงในด้านการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพสูงที่สุดในประเทศไทย

บริษัท ไทไทแทรกเตอร์ จำกัด จำหน่ายเครื่องจักรกลทางการเกษตรให้กับเกษตรกรในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภาคตะวันตกของประเทศไทย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางพื้นที่เกษตรกรรมมากที่สุดแห่งหนึ่ง เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาและอ่าวไทย โดยพืชผลที่ทำการเพาะปลูกในจังหวัด ได้แก่ สับปะรัด มะพร้าว ปาล์ม และกล้วย เป็นต้น

ผู้แทนจำหน่ายรายใหม่ประจำภาคกลา งเช่น บริษัท นิวแทรกเตอร์ ฉะเชิงเทรา จำกัด บริษัท แทรกเตอร์ดำ จำกัด และบริษัท เจ พี ที ไทร์ จำกัด ให้ความสำคัญกับชุมชนเกษตรกรรมบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำสะแกกรัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเกษตรที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งผลิตข้าว มันสำปะหลัง และอ้อย

“เราเชื่อว่าความสำเร็จของธุรกิจขึ้นอยู่กับความทุ่มเทของทุกคน การทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าทำให้เราเข้าใจความต้องการของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง และข้อมูลเชิงลึกอันมีค่านี้สามารถนำมาใช้ปรับปรุงการบริการของเราได้” คุณรัชฎาภร กล่าว

0 Shares

สู่ 4 พันล้าน จระเข้ แบรนด์วัสดุก่อสร้างสัญชาติไทย ฉลองครบรอบ 32 ปี

สู่ 4 พันล้าน จระเข้ แบรนด์วัสดุก่อสร้างสัญชาติไทย ฉลองครบรอบ 32 ปี

ย้อนปรากฏการณ์วงการก่อสร้าง จาก “จุดเริ่มต้น” สู่ “เบอร์หนึ่ง”กาวซีเมนต์-ยาแนว เจาะโมเดลธุรกิจไทยด้วยนวัตกรรม ลุยเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ เคมีก่อสร้าง-สีพรีเมียม

ตลอดเวลากว่า 32 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่คงจะคุ้นหูคุ้นตากับผลิตภัณฑ์นวัตกรรมก่อสร้างของ “แบรนด์จระเข้” มาไม่มากก็น้อย ด้วยชื่อและโลโก้แบรนด์ที่สะดุดตาจนใครเห็นก็ต้องจำได้ แต่สำหรับวงการก่อสร้างเมืองไทยแล้ว ชื่อของ “จระเข้” หรือ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ถือเป็นอีกหนึ่งตำนานแห่งวงการในฐานะธุรกิจสัญชาติไทยที่ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเสริมคุณภาพและประสิทธิภาพการใช้งานของสินค้าอยู่เสมอ การพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งภายใต้เป้าหมายในการยกระดับวงการก่อสร้างนี้ ได้ส่งผลให้ “จระเข้” เติบโตมาอย่างแข็งแกร่ง จนปีนี้ประกาศมุ่งสู่รายได้ 4,000 ล้านบาท เพื่อฉลองครบรอบปีที่ 32 แห่งการดำเนินธุรกิจเคียงคู่สังคมไทย พร้อมเดินหน้าเป็นเจ้าตลาดกาวซีเมนต์-กาวยาแนว และลุยเจาะมาร์เก็ตแชร์สินค้าเคมีก่อสร้างและผลิตภัณฑ์สีพรีเมียมอย่างเต็มกำลัง

เปิดเส้นทาง 32 ปีแห่งการ “ตั้งต้น-ต่อยอด-เติบโต”

จุดเริ่มต้นของ “จระเข้” ย้อนกลับไปในปี 2535 เมื่อกลุ่มเพื่อนพนักงานประจำ ฝันอยากคิดค้นผลิตภัณฑ์กาวซีเมนต์ปูกระเบื้องที่มีคุณภาพสูงและตอบโจทย์การใช้งานที่สะดวกสบายมากขึ้น พวกเขาจึงตัดสินใจร่วมทุนกันก่อตั้งบริษัท เซอรา ซี-เคียว จำกัด ในวันที่ 28 สิงหาคม 2535 และจากความตั้งใจที่จะแก้ Pain Point ของการปูกระเบื้องในวันนั้น ได้ถือกำเนิดเป็นผลิตภัณฑ์แรกอย่างกาวซีเมนต์ “จระเข้เขียว” ในปี 2536 ที่ใช้เทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกาที่ยังคงยืนหยัดในคุณภาพและได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานมาจนถึงทุกวันนี้ การนำเสนอ “กาวซีเมนต์จระเข้เขียว” เพื่อใช้ในการปูกระเบื้องโดยเฉพาะ แทนการใช้ปูนซีเมนต์ผสม ถือเป็น Game Changer ที่เข้ามาพลิกโฉมตลาดและยกระดับมาตรฐานคุณภาพของงานปูกระเบื้องของเมืองไทย ในยุคนั้น แบรนด์จระเข้ ถือเป็นหน้าใหม่ที่ยังไม่มีใครรู้จัก กลุ่มผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท รวมถึง นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ ประธานกรรมการบริหารของจระเข้ในปัจจุบัน ต้องขับรถไปทั่วไทยพบปะลูกค้ากว่า 600 อำเภอ เพื่อแนะนำสินค้า สาธิตการใช้งาน พร้อมกับรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริง เพื่อเก็บข้อมูลไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่แก้ Pain Point ของลูกค้า

10 ปีต่อมา จากความมานะบากบั่นของผู้บริหารและพนักงานทุกคน บริษัททำยอดขายแตะ 115 ล้านบาทครั้งแรกในปี 2546 และในปีเดียวกันนี้ จระเข้ ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการอีกครั้งด้วยการเปิดตัว “กาวยาแนวจระเข้ พรีเมียม พลัส” กาวยาแนวป้องกันราดำรายแรกของโลก ด้วยเทคโนโลยีไมโครแบน (Microban) นับเป็นผลผลิตจากการตั้งใจวิจัยและพัฒนาเพื่อป้องกันราดำในร่องยาแนว ปัญหาที่พบได้บ่อยในประเทศร้อนชื้นอย่างเมืองไทย ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้ใช้งาน พร้อมสร้างชื่อเสียงให้แบรนด์จระเข้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะผู้พลิกโฉมวงการก่อสร้างไทยด้วยนวัตกรรมระดับโลก จากรายได้หลักร้อยล้านจึงนำไปสู่ 2,017 ล้านบาทในปี 2557 และต่อมาในปี 2560 จระเข้ ได้กลายเป็นผู้ครองตลาดอันดับหนึ่งในกลุ่มกาวซีเมนต์และกาวยาแนว ด้วยส่วนแบ่งมากกว่า 50% และยังคงครองเบอร์หนึ่งมาจนถึงปัจจุบัน ในปี 2566 บริษัทสร้างรายได้มากถึง 3,707 ล้านบาท สอดคล้องไปกับการขยายไลน์อัพสินค้านวัตกรรมก่อสร้างที่หลากหลายครอบคลุมการใช้งานมากยิ่งขึ้นในทุก ๆ ปี

จากจุดเริ่มต้น สู่ 4,000 ล้านบาท เพราะแข่งขันด้วย Innovation

ในปี 2567 จระเข้ ยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และเสริมทัพกระบวนการผลิตในทุกขั้นตอนภายใต้มาตรฐานระดับโลก เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ครอบคลุมงานก่อสร้างตั้งแต่ฐานรากจนถึงหลังคา ทุกโปรดักต์ล้วนเปี่ยมด้วยนวัตกรรมที่ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์การใช้งาน แต่ต้องปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม ตามปรัชญาองค์กร “Innovation For Your Family’s Happiness – นวัตกรรมก่อสร้างความสุขเพื่อคุณและครอบครัว” เพื่อให้แบรนด์ของคนไทยอย่างจระเข้ เป็นแบรนด์ที่วงการก่อสร้างทุกเซกเมนต์ไว้วางใจต่อไป ในปีนี้ จระเข้ประกาศมุ่งสู่รายได้ 4,000 ล้านบาท พร้อมกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจผ่านการลุยตลาดเคมีก่อสร้างและผลิตภัณฑ์สีพรีเมียม ที่ยังมีพื้นที่ในการเติบโตอีกมาก บวกกับการลุยตลาดต่างประเทศเพื่อนำเสนอนวัตกรรมก่อสร้างคุณภาพระดับมาตรฐานสากล มุ่งสู่การเป็นโกลบอลแบรนด์จากเมืองไทย

เปิดกลยุทธ์สู่ก้าวต่อไปที่มั่นคง

นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เผยว่า “ตลอดกว่า 32 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ของเราได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่งครบวงจร ที่มีฐานลูกค้าอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่อสังหาฯ การท่องเที่ยว โรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานของหน่วยงานภาครัฐ เป้าหมายต่อจากนี้ คือการรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวในเมืองไทยต่อไป พร้อมเดินหน้าเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้างและสีพรีเมียม เราเล็งเห็นโอกาสเติบโตในสองเซกเมนต์นี้ เพราะจระเข้ นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีจุดแข็งชัดเจน ในการแก้ Pain Point เสมอ นอกจากเราจะเน้นคุณภาพและการใช้งานที่สะดวกแล้ว นวัตกรรมของเรายังปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัย และใส่ใจสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการผลิต หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการสานต่อแคมเปญการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับกลุ่มสินค้าอื่น ๆ ของจระเข้ตามคอนเซปต์ ‘ใช้จระเข้ร่วมกัน ปกป้องทั้งบ้าน’ นอกจากนี้ อีกหนึ่งแผนธุรกิจที่ช่วยเสริมความมั่นคงของเรา คือตลาดต่างประเทศ โดย จระเข้ จัดจำหน่ายสินค้าในตลาด CLMV หรือกัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา และเวียดนาม มาสักพักใหญ่แล้ว เราได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและตอนนี้กำลังศึกษาโมเดลธุรกิจในการเจาะตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ต่อไป”

ภารกิจใหม่กับการยกระดับวงการก่อสร้างสีเขียว

อีกหนึ่งภารกิจที่จระเข้ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เพื่อการเติบโตของธุรกิจต่อจากนี้ คือ การลดการปล่อยคาร์บอนในทุกกระบวนการผลิตเพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน ผ่านเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 5 ข้อ (5SD) ซึ่งเป็นแนวทางพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนและปลูกฝังความตระหนักรู้เรื่องบทบาทของทุกคนในการร่วมดูแลรักษาโลกให้คงอยู่สำหรับคนรุ่นต่อไป ได้แก่ ลดการปล่อย CO2: มุ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตและการดำเนินงานทั้งหมด โดยจระเข้ได้ลดการปล่อยคาร์บอนได้ 11,118,806 กิโลกรัมคาร์บอน
ลดปริมาณขยะและของเสีย: จัดการขยะและของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการรีไซเคิลขยะให้เกิดประโยชน์ โดยจระเข้ ได้จัดการขยะรีไซเคิลไปแล้ว 120,499 กิโลกรัม

ลดการใช้สารพิษ: ลดการใช้และการปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตรายในกระบวนการผลิต โดยจระเข้ได้ลดฝุ่นไปแล้ว 2,522,217 กิโลกรัม ด้วยการปรับปรุงกระบวนการผลิต เพิ่มสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: พัฒนาและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยยอดขายสินค้ากลุ่ม Green Products คิดเป็น 62% จากยอดขายทั้งหมด สนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิต: สนับสนุนกิจกรรมที่ยกระดับคุณภาพชีวิต ครอบคลุมด้านการศึกษา สุขอนามัย และสิ่งแวดล้อม เดินหน้าทำงานร่วมกับชุมชนและองค์กร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม โดยจระเข้ได้พัฒนาทักษะคนไปแล้วกว่า 12,274 คน “ต่อจากนี้ ทุกผลิตภัณฑ์ ทุกกระบวนการผลิต ทุกการดำเนินงานในองค์กร และทุกโครงการ CSR ที่จระเข้ริเริ่มจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ จระเข้ ขอเป็นแบรนด์ไทยที่เติบโตได้อย่างมั่นคงพร้อมไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและการขับเคลื่อนสังคมตามแนวคิด ‘เราอยู่ได้ – โลกอยู่ดี – สังคมมีสุข’ ของจระเข้” นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ กล่าว

0 Shares

NECTEC-ACE2024 จับมือพันธมิตร โชว์ศักยภาพ โอกาสและทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเซนเซอร์ไทย มุ่งเป้าสู่ระบบนิเวศเซนเซอร์อัจฉริยะของโลก

NECTEC-ACE2024 จับมือพันธมิตร โชว์ศักยภาพ โอกาสและทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเซนเซอร์ไทย มุ่งเป้าสู่ระบบนิเวศเซนเซอร์อัจฉริยะของโลก

เมื่อวันที่ 10 ก.ย. ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ประธานกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทคประจำปี 2567 (NECTEC Annual Conference & Exhibitions 2024: NECTEC-ACE 2024) ภายใต้แนวคิด “ฐานรากเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาไทยก้าวหน้า” ซึ่งปีนี้มุ่งเน้นด้าน “เปิดโลกเทคโนโลยียุคใหม่ ด้วยเซนเซอร์ไทยอัจฉริยะ: The Next Era of Thai Intelligent Sensors” โดยมี ดร.จันทร์เพ็ญ เมฆาอภิรักษ์ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. และพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชน กว่า 1,000 คนเข้าร่วมงาน ที่ศูนย์การประชุมอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี

ศ.ดร.บัณฑิต กล่าวว่า เซนเซอร์และเซมิคอนดักเตอร์เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นสององค์ประกอบหลักที่ขับเคลื่อนให้เทคโนโลยีสมัยใหม่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเราอย่างที่เราคาดไม่ถึง ทั้งเป็นกุญแจสำคัญของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ที่ทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ เชื่อมต่อกันและสื่อสารกันได้ ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตในภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งยังมีผลในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ ยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน

นอกจากนี้เซนเซอร์และเซมิคอนดักเตอร์ยังถูกใช้ในระบบขนส่งอัจฉริยะ ช่วยให้การจราจรมีความปลอดภัย สะดวกรวดเร็ว และประหยัดพลังงาน ถูกใช้ในระบบดูแลสุขภาพ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ รักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ติดตามสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิด และถูกนำมาประยุกต์ใช้ในระบบเกษตรอัจฉริยะ ช่วยให้เกษตรกร สามารถเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน ดังนั้นเซนเซอร์และเซมิคอนดักเตอร์จึงมีความสำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญของเทคโนโลยีต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงเป็นที่มาของการจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการของเนคเทค ประจำปี 2567 หรือ NECTEC Annual Conference and Exhibitions 2024 (NECTEC–ACE 2024) โดยมุ่งเน้นประเด็น “เปิดโลกเทคโนโลยียุคใหม่ ด้วยเซนเซอร์ไทยอัจฉริยะ” The Next Era of Thai Intelligent Sensors ซึ่งจัดโดยเนคเทค สวทช. ถือว่ามีความสำคัญในการสนับสนุนให้ หน่วยงานทั้งรัฐและเอกชน ภาคเกษตร สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ผู้ประกอบการ และนักลงทุน สามารถแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์ ร่วมทั้งการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ผลักดันผลงานวิจัยไปสู่ผู้ใช้งานจริงได้อย่างยั่งยืน โดยผ่านโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติและเครือข่ายพันธมิตร เพื่อยกระดับการพัฒนาและการแข่งขันของประเทศ พร้อมทั้งสร้างสรรค์ผลงานวิจัยให้ตอบโจทย์การใช้งานภายในประเทศ

ศ.ดร.ชูกิจ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สวทช. โดยเนคเทคซึ่งมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นผู้เชื่อมโยงการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเกษตร สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ผู้ประกอบการและนักลงทุน ในการสนับสนุนและถ่ายทอดผลงานวิจัยและพัฒนาไปสู่ การใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมและประเทศ ปัจจุบันเทคโนโลยีเซนเซอร์อัจฉริยะในประเทศไทย ตั้งแต่งานวิจัยพื้นฐานไปจนถึงการประยุกต์ใช้ ในอุตสาหกรรม และเซนเซอร์อัจฉริยะมีความสำคัญต่ออินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และอุปกรณ์ ที่เชื่อมต่อการใช้งานเซนเซอร์อัจฉริยะจึงมีมากมาย สามารถบูรณาการเข้ากับแอปพลิเคชันที่หลากหลายในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา โดยในปีต่อ ๆ ไป คาดว่าอุตสาหกรรม เซนเซอร์อัจฉริยะจะยังคงเติบโตและสร้างสรรค์ช่วยสร้างโอกาสในการพัฒนาและการลงทุนในอนาคต รวมถึงช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อเร่งการพัฒนาเชิงพาณิชย์สำหรับเทคโนโลยีเซนเซอร์ของไทยให้เป็นหนึ่งที่สำคัญในระบบนิเวศเซนเซอร์อัจฉริยะของโลก

ดร.ชัย กล่าวว่า งานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค หรือ NECTEC-ACE มีเป้าหมายเพื่อผลักดันเทคโนโลยีและผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ โดยมุ่งเน้น 3 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่ 1.Intelligent Sensors

2.Networking & Communication และ 3.AI & Big Data อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง NECTEC-ACE2024 ในปีนี้นำเสนอเรื่องราวของเทคโนโลยีเซนเซอร์ ที่มีบทบาทสำคัญในยุคดิจิทัลและเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย ขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมใหม่ เสริมสร้างศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมทั้งในระดับประเทศและสากล ในฐานะที่เนคเทค สวทช. ได้ก่อตั้ง Thai Microelectronics Center (TMEC) เป็น MEMS Foundry แห่งแรกของไทย ตั้งแต่ปี 2538 เปิดให้บริการพัฒนาอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ MEMS และเซนเซอร์ ในกลุ่ม More Than Moore ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การสร้างต้นแบบ การทดสอบไปจนถึงการผลิตเชิงพาณิชย์ในปริมาณน้อยถึงปานกลาง ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ที่ผ่านมา ได้แก่ MEMS Pressure Sensors, Silicon Particle Detector, Si MEMS Microphones, Si MEMS Gyroscopes และ Ion-Sensitive Field-Effect Transistor (ISFET) อีกบทบาทสำคัญของ TMEC คือการเป็นโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศและเสริมสร้างกำลังคนเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต โดยเนคเทค สวทช. พร้อมนำองค์ความรู้ด้านเซนเซอร์และเซมิคอนดักเตอร์ เข้าไปมีส่วนร่วมและเชื่อมโยงในมิติของภาครัฐ ภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการและ นักลงทุนทั่วไป ที่จะร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมเสริมระบบนิเวศการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเซนเซอร์อัจฉริยะภายในประเทศให้มีความพร้อมก้าวสู่ตลาดการแข่งขันในระดับสากล

ความพิเศษของการจัดงาน NECTEC-ACE 2024 ในปีนี้ ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 17 ยังคงได้รับการสนับสนุน และความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนรวม 26 หน่วยงาน ที่เล็งเห็นประโยชน์ และความสำคัญในการสนับสนุน โดยมีผู้สนใจได้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานมาแล้วทั้งสิ้น มากกว่า 1,000 คน ซึ่งปีนี้นำเสนอเรื่องราว ในหลากหลายมิติที่เกี่ยวข้องทางด้านเทคโนโลยีเซนเซอร์ ให้ทุกท่านได้เห็นถึงบทบาทของเซนเซอร์อัจฉริยะที่มีบทบาทสำคัญในยุคดิจิทัล และเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย ขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ผ่านกิจกรรมภายในงาน ทั้งในรูปแบบการจัดสัมมนาวิชาการ และการจัดแสดงนิทรรศการ ที่ทุกท่านจะได้เรียนรู้
เกี่ยวกับสถานภาพปัจจุบัน และศักยภาพของเทคโนโลยีเซนเซอร์อัจฉริยะในประเทศไทย ตั้งแต่งานวิจัยพื้นฐานไปจนถึงการนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงมุมมองด้านนโยบายการส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยพัฒนา โอกาส ความท้าทายการลงทุน ทั้งในมิติของภาครัฐ ภาคธุรกิจ และผู้ใช้งาน ที่จะร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรม เสริมระบบนิเวศ (Ecosystem) การพัฒนาเซนเซอร์อัจฉริยะที่จะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีอื่น ๆ ให้เกิดขึ้นภายในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน
กิจกรรมภายในงานเต็มไปด้วยเนื้อหา สาระความรู้ เพื่อนำเสนอต่อผู้ที่สนใจทางด้านเซนเซอร์อัจฉริยะทุกท่านได้เข้ามาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ประกอบด้วย
· 7 หัวข้อสัมมนาวิชาการ ที่ได้รวบรวมวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ จากภาครัฐ และเอกชน กว่า 40 ท่าน มาร่วมนำเสนอความรู้ ความก้าวหน้า งานวิจัยและพัฒนาเซนเซอร์อัจฉริยะครบทุกมิติทั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ รวมถึงด้านนโยบาย การสนับสนุน โอกาสการลงทุน และการเติบโตในอนาคต


· 50 บูธนิทรรศการ แสดงผลงานวิจัยพัฒนาด้านเซนเซอร์อัจฉริยะ จากเนคเทค สวทช. ที่พร้อมตอบโจทย์การประยุกต์ใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม และงานวิจัยขั้นสูงสู่อนาคตเทคโนโลยีเซนเซอร์ พร้อมด้วยผลงานจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สมาคม สถาบันการศึกษา ร่วมนำนวัตกรรม บริการ โซลูชัน มาตรการสนับสนุน เพื่อผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมเซนเซอร์ในประเทศ

โดยภายหลังการจัดงาน ยังเปิดให้ผู้ที่สนใจที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ สามารถติดตามบันทึกการสัมมนาย้อนหลังและข้อมูลนิทรรศการผลงานวิจัย ได้ที่เว็บไซต์ www.nectec.or.th/ace2024 ตั้งแต่ 30 ก.ย.เป็นต้นไป

0 Shares

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หนุน SMEs ไทยเติบโตในตลาดอีคอมเมิร์ซ ติดอาวุธผู้ประกอบการไทย

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หนุน SMEs ไทยเติบโตในตลาดอีคอมเมิร์ซ ติดอาวุธผู้ประกอบการไทย

มอบรางวัลสุดยอดนักขายออนไลน์ พร้อมคาดปี 68 ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยโตกว่า 7.5 แสนล้าน

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเดินหน้าติดอาวุธผู้ประกอบการไทยให้ทันการเปลี่ยนแปลงของตลาดยุคดิจิทัล รับกระแสอีคอมเมิร์ซโตแรง จัดกิจกรรมปั้นนักการค้าออนไลน์มืออาชีพ Smart Trader Online เฟ้นหา 3 สุดยอดนักขายออนไลน์ เพื่อเป็นต้นแบบและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ที่สนใจเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ พร้อมประกาศผลผู้ชนะและจัดพิธีมอบรางวัลในวันที่ 11 ก.ย. ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

นายสถาพร ร่วมนาพะยา รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในพิธีมอบรางวัล “สุดยอดนักการค้าออนไลน์มืออาชีพ” ว่า ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว จาก 6.34 แสนล้านบาท ในปี 2566 เป็น 6.94 แสนล้านบาท ในปี 2567 เติบโตเฉลี่ยปีละ 6% และคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 7.5 แสนล้านบาทในปี 2568 ซึ่งการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้เป็นได้ทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการที่ปรับตัวได้เร็ว รู้จักใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีจะมีโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก เพิ่มยอดขายได้ไว และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้ง่ายขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการที่ปรับตัวตามไม่ทัน อาจเสียโอกาสและต้องเผชิญกับความยากลำบากในการแข่งขัน

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเล็งเห็นถึงความท้าทายที่ผู้ประกอบการไทยได้รับโดยเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีจึงได้ดำเนินโครงการมากมายที่ช่วยเสริมทักษะและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ปรับตัวทันการเปลี่ยนแปลง และพร้อมรองรับการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซ หนึ่งในนั้นคือ กิจกรรม “สร้างนักการค้าออนไลน์มืออาชีพ Smart Trader Online” ซึ่งเป็นหลักสูตรฝึกอบรมที่มุ่งพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้มีความรู้ด้านการค้าออนไลน์และก้าวสู่การเป็นนักขายออนไลน์มืออาชีพ โดยได้จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 ซึ่งในปีนี้เน้นไปที่การพัฒนาทักษะการใช้เครื่องมือการตลาดยุคใหม่อย่าง เช่น การตลาดแบบพันธมิตร หรือ Affiliate Marketing ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในขณะนี้ เพราะเป็นการตลาดที่ได้ประโยชน์ทั้งต่อผู้ขาย ช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนสูง และยังช่วยให้คนทั่วไปที่ไม่มีทุน ไม่มีสินค้าแต่อยากหารายได้จากการขายออนไลน์สามารถนำสินค้าจากผู้ประกอบการมาขายและสร้างรายได้ที่มั่นคงได้

สำหรับกิจกรรม สร้างนักการค้าออนไลน์มืออาชีพ Smart Trader Online ใครๆ ก็ขายได้ ประจำปีนี้ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 โดยมีการจัดอบรมทั้งหมด 3 ครั้ง มีผู้สนใจเข้าร่วมกว่า 1,000 ราย ทั้งประชาชนทั่วไป เจ้าของร้านค้า ผู้ผลิตสินค้า และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ซึ่งหลังจากอบรมครบทั้ง 3 รอบ จะคัดเลือกผู้เข้าอบรมเหลือเพียง 30 ราย ผ่านเข้ารอบสุดท้ายเพื่อเข้าร่วมจับคู่ธุรกิจและคัดเลือกสินค้าชุมชนที่มีศักยภาพมาไลฟ์ขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์จริง พร้อมเฟ้นหา 3 สุดยอดนักขายออนไลน์มืออาชีพที่มีทักษะ การขายที่โดดเด่น สร้างสรรค์ มีการนำเสนอที่ดึงดูดใจ น่าติดตาม มียอดผู้ชมไลฟ์และสร้างยอดขายได้สูงสุด ซึ่งขณะนี้กิจกรรมได้สิ้นสุดลงแล้ว และมีการประกาศผลผู้ชนะเลิศ และมอบรางวัลในวันนี้

ด้านน.ส.บุริญ ใจสิงห์ หรือ โฟมม่อน ผู้ชนะเลิศการประกวด “สุดยอดนักการค้าออนไลน์มืออาชีพ” จากกิจกรรมสร้างนักการค้าออนไลน์มืออาชีพ Smart Trader Online ใครๆ ก็ขายได้ กล่าวว่า เหตุผลที่สนใจเข้าร่วมโครงการนี้เพราะมีความรักในงานขายและมีความสามารถด้านการสื่อสาร เพราะมีอาชีพเป็นพิธีกรและวิทยากร พอเห็นการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ และคนรอบข้างที่ทำธุรกิจออนไลน์แล้วประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม TikTok ก็เกิดความสนใจ อยากลองใช้ทักษะความสามารถของตนเองสร้างอาชีพออนไลน์เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการหารายได้และตั้งเป้าหมายว่า “อยากเป็นนักขายออนไลน์ที่สามารถขายได้ทุกอย่าง” จึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการนี้เพราะต้องการเรียนรู้เทคนิคเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องการสร้างคอนเทนต์และการขายออนไลน์ ซึ่งเมื่อเข้าร่วมกิจกรรมฯ ก็ทำให้ได้เรียนรู้เทคนิคต่างๆ มากมายที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เช่น การสร้าง Storytelling ซึ่งช่วยให้สามารถทำคลิปที่สร้างยอดขายได้และค้นพบแนวทางที่ใช่สำหรับตัวเอง

ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งเข้าใจว่าโครงการนี้กําลังเฟ้นหานักขายที่จะไปช่วยผู้ประกอบการที่อยู่ภายใต้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าด้วย ซึ่งผู้ประกอบหลายรายอาจมีสินค้าที่ดี แต่ยังไม่มีทุนไปจ้างอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ค่าตัวแพงๆ มาช่วยโปรโมตสินค้า จึงคิดว่าถ้าเราสามารถใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญในการเป็นนักขายมืออาชีพของเราไปช่วยสร้างประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการได้บ้างก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก

นอกจากนี้ โฟมม่อน ยังได้แนะเคล็ดลับสำหรับนักขายออนไลน์มือใหม่ว่า “ควรทำสิ่งที่เรารู้สึกสบายใจเป็นตัวของตัวเอง มีความสุข และควรเริ่มต้นจากสินค้าที่เราชื่นชอบและเชื่อมั่นในคุณภาพ เพราะหากเราอินกับสินค้านั้นจริงๆ เราจะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกนั้นไปยังลูกค้าได้อย่างจริงใจและเป็นธรรมชาติ เมื่อเราสื่อสารด้วยความจริงใจ ลูกค้าจะรับรู้ถึงความจริงใจของเราได้ และที่สำคัญอยากให้นักขายทุกคนควรมีหัวใจของการเป็น “ผู้ให้” ด้วย ไม่ใช่มุ่งแต่จะขายของอย่างเดียว แต่ต้องขายสินค้าดี มีคุณภาพ ที่ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์ ได้รับความคุ้มค่าจากสินค้าจริงๆ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาเกิดความเชื่อถือ ไว้วางใจ และกลับมาซื้อสินค้าของเราอย่างต่อเนื่อง”

นายสถาพร กล่าวด้วยว่า นอกจากกิจกรรมสร้างนักขายออนไลน์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังได้ร่วมมือกับพันธมิตรด้านอีคอมเมิร์ซชั้นนำมากมาย อย่างเช่น Tiktok Shop, Shopee , Lazada, และ NocNoc จัดกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพด้านอีคอมเมิร์ซให้แก่ผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเสริมสร้างความรู้และพัฒนาทักษะ การใช้เครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ การบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย พร้อมมอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อเอื้อให้ผู้ประกอบการใช้ช่องทางออนไลน์สร้างยอดขายและสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

0 Shares

จับจังหวะเลือกสะสมสินทรัพย์ก่อนเฟดลดดอกเบี้ย ทยอยลงทุน “หุ้นเทคโนโลยี – หุ้นไทย – บิทคอยน์”

จับจังหวะเลือกสะสมสินทรัพย์ก่อนเฟดลดดอกเบี้ยทยอยลงทุน “หุ้นเทคโนโลยี – หุ้นไทย – บิทคอยน์”

คาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ ส่งผลบวกต่อทุกสินทรัพย์ในระยะยาว มองเดือนกันยายนเป็นจังหวะทยอยสะสม “หุ้นเทคโนโลยี – หุ้นไทย – บิทคอยน์” โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเอไอที่ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดเติบโตแทบทุกราย ส่วนบิทคอยน์มีสัญญาณบวกจากสถิติเดิม ปีที่เกิด Halving ราคาจะสิ้นสุดการพักฐานในเดือนก.ย.ก่อนจะสร้างผลตอบแทนเป็นบวกสามเดือนติดต่อกัน ขณะที่หุ้นไทยเริ่มมีปัจจัยบวกหนุน

นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตาในเดือนกันยายนนี้ คือการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 -19 ก.ย.นี้ โดยประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณมาก่อนหน้านี้แล้วที่การประชุมแจ็คสันโฮลว่านโยบายการเงินมีโอกาสที่จะเปลี่ยนทิศทางมาเป็นการลดดอกเบี้ยถ้าหากตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนแอลง

ทั้งนี้ การประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non-Farm Payroll) สัปดาห์ที่ผ่านมาออกมาต่ำกว่าที่คาดค่อนข้างมาก ทำให้ตลาดมีความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยจนต้องลดดอกเบี้ยในอัตรา 0.5% ในการประชุมเดือนนี้ทันที จึงเกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นและสินทรัพย์อื่น ๆ

อย่างไรก็ตามคาดว่าตลาดได้ซึมซับกับข่าวและความน่าจะเป็นที่จะใช้ยาแรงด้วยการลดดอกเบี้ย 0.5% ไปแล้ว ถ้าหากการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ หรือ CPI Index ในสัปดาห์นี้ออกมาต่ำกว่าที่คาดมากก็ไม่น่าจะสร้างความตกใจให้กับตลาดได้มากกว่านี้

“ในระยะกลาง การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มที่จะลดดอกเบี้ยลงจะเป็นผลดีต่อตลาดการลงทุนทั้งหมด แต่ในระยะสั้นอาจยังมีความผันผวน ถึงอย่างไรการที่ตลาดหุ้นและสินทรัพย์การลงทุนอื่นปรับฐานลงมาในช่วงเดือนกันยายน ถือเป็นโอกาสในการทยอยเข้าสะสม เพราะจากสถิติทุกปี เดือนกันยายนตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด แต่หลังจากนั้นในไตรมาสที่สี่จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นอย่างดี”

โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq หากมีการปรับฐานลงมา มองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ทั้ง 7 ตัว รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเอไออื่น ๆ เพราะภาพรวมของการประกาศผลประกอบการของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเอไอ ยังคงทำได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดทั้งหมด รวมทั้งยังมองการเติบโตต่อในไตรมาสต่อไป แต่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาเป็นไปตามภาวะตลาด
อาทิ หุ้น Nvidia ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น 122% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของไตรมาสที่ผ่านมา กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า และรายได้จากธุรกิจศูนย์ข้อมูลของ Nvidia ซึ่งรวมถึงโปรเซสเซอร์ AI เพิ่มขึ้น 154% จากปีที่ผ่านมา เป็นแรงหนุนสำคัญให้กับหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ
ขณะที่หุ้น Tesla นักลงทุนกำลังมองข้ามยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตลดลง และให้ความสำคัญกับการเปิดตัวธุรกิจใหม่ คือ Robotaxi หรือ แท็กซี่แบบไร้คนขับ ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้และทำกำไรให้กับ Tesla ในยุคต่อไป
ด้านสินทรัพย์อื่น ๆ ที่จะได้ประโยชน์จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงเดือนก.ย.สามารถที่จะทยอยเข้าลงทุนได้ เช่น ทองคำ และบิทคอยน์ จากสถิติที่ผ่านมา ปีที่เกิดการ Halving และมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ราคาบิทคอยน์จะจบการปรับฐานในเดือนก.ย. และจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกตลอดสามดือนสุดท้ายของปี และยังมีโอกาสที่จะเป็นขาขึ้นต่อเนื่องในปี 2025 จึงสามารถทยอยเข้าสะสมได้ โดยมีแนวรับไม่ต่ำกว่า 49,000 ดอลลาร์
ทางด้านตลาดหุ้นไทย เริ่มมีปัจจัยบวกเข้ามาไม่ว่าจะเป็นการได้รัฐบาลใหม่ การตั้งกองทุนวายุภักษ์ จนทำให้ดัชนี SET Index ปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในแง่ทางเทคนิคมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นแตะ 1,500 จุด ในปีนี้ เพราะมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในรูปแบบของการเก็งกำไรไปจนถึงสิ้นปีนี้ได้ แต่หลังจากนั้นต้องจับตาการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ว่าจะทำให้จีดีพีสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง หรือไม่
“คาดว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ตลาดการลงทุนมีโมเมนตัมที่ดีจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสสูงที่จะเริ่มต้นลดดอกเบี้ย หลังจากนั้นต้องมาติดตามผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าจะมีผลต่อสินทรัพย์ใดต่อไป”

0 Shares

กลุ่มวิวาลดี้ ร่วมโครงการ LATIN LINK 2024 รุกสำรวจตลาด หารือภาครัฐ/เอกชน ส่งเสริมศักยภาพการค้าไทย-ลาตินอเมริกาฯ

กลุ่มวิวาลดี้ ร่วมโครงการ LATIN LINK 2024 รุกสำรวจตลาด หารือภาครัฐ/เอกชนส่งเสริมศักยภาพการค้าไทย-ลาตินอเมริกาฯ

กลุ่มบริษัทวิวาลดี้ นำโดยนายบุรินทร์ นาคเจริญ ประธานบริษัท เข้าร่วมโครงการ Latin Link ประจำปี 2567 เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและผู้แทนระดับสูง เป็นผู้แทนนำคณะนักธุรกิจไทยเดินทางไปเยือนประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริการวม 3 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐชิลี สาธารณรัฐเปรู และสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยได้สำรวจโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ตลอดจนเข้าพบปะหารือกับหน่วยงานสำคัญได้โดยตรง พร้อมเยี่ยมชมตลาดการค้าต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยพัฒนาภาคธุรกิจการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ตลอดจนส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศภาคีได้อย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 6 ก.ย. นายบุรินทร์ นาคเจริญ ประธานบริษัทวิวาลดี้ ซีซั่นส์ จำกัด กล่าวว่า “ต้องขอขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศที่ได้ริเริ่มโครงการลาตินลิงค์ (Latin Link) และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้เดินทางไปพบปะหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ของลาตินอเมริกาซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพด้านการลงทุนในหลาย ๆ ภาคธุรกิจ ทั้งการขนส่ง วัสดุก่อสร้าง การท่องเที่ยว ตลอดจนถึงการผลิตไวน์”

โครงการ Latin Link จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2557 และดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการครั้งที่ 4 ในปีนี้ประกอบด้วยกิจกรรมสำคัญ อาทิ การเข้าพบหารือหน่วยงานภาครัฐบาลและเอกชนชั้นนำ เช่น สถานเอกอัครราชทูต หอการค้า ท่าเรือ บริษัทผู้ประกอบการรายใหญ่ ฯลฯ ของแต่ละประเทศ การสำรวจตลาดสินค้าหลัก การเยี่ยมชมไร่องุ่นและแหล่งผลิตไวน์ชั้นนำ งานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อการสร้างเครือข่ายธุรกิจ ตลอดจนการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูล กระชับความสัมพันธ์ ตลอดจนสร้างเครือข่ายภาคีความร่วมมือกับผู้ประกอบการและหน่วยงานด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในระดับภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลุ่มบริษัทวิวาลดี้ ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจการค้าและบริการในประเทศไทย พร้อมให้การสนับสนุนโครงการความร่วมมือด้านธุรกิจและการค้าระหว่างประเทศทั้งของหน่วยงานภาครัฐบาลและภาคเอกชน เพื่อร่วมขยายศักยภาพทางการค้าการลงทุน และส่งเสริมเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไทยต่อไป

0 Shares

ดีป้า เผยอุตฯ ดิจิทัลคอนเทนต์ไทยปี 66 ขยายตัวต่อเนื่อง

​​ดีป้า เผยอุตฯ ดิจิทัลคอนเทนต์ไทยปี 66 ขยายตัวต่อเนื่อง

ชี้กระแสอาร์ตทอยดันอุตสาหกรรมคาแรกเตอร์ขยายตัว ส่วนเกม – แอนิเมชันยังน่าห่วง หดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่สอง

ดีป้า เผยผลสำรวจข้อมูลและประเมินสถานภาพอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย ประจำปี 2566 และคาดการณ์แนวโน้ม 3 ปี ระบุภาพรวมอุตสาหกรรมปี 2566 ขยายตัวเล็กน้อย โดยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 44,236 ล้านบาท ได้รับอานิสงส์จากกระแสอาร์ตทอยที่ผลักดันให้อุตสาหกรรมคาแรกเตอร์ขยายตัว ขณะที่อุตสาหกรรมเกมและแอนิเมชันยังหดตัว พร้อมประเมินว่า อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ไทยทั้งระบบจะขยายตัวต่อเนื่อง และมูลค่ารวมอุตสาหกรรมจะแตะระดับ 50,000 ล้านบาทในปี 2569

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ร่วมกับ สมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย (DCAT) สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA) สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย (TGA) สมาคมธุรกิจบางกอกเอซีเอ็มซิกกราฟ (Bangkok ACM SIGGRAPH) และ บริษัท ไอเอ็มซี เอ้าท์ซอร์สซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินการสำรวจข้อมูลและประเมินสถานภาพอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ (เกม แอนิเมชัน คาแรกเตอร์ และหนังสืออิเล็กทรอนิกส์) ประจำปี 2566 และคาดการณ์แนวโน้ม 3 ปี

ดร.กษิติธร ภูภราดัย รองผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มงานยุทธศาสตร์และความมั่นคง ดีป้า เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ไทยปี 2566 ขยายตัวเฉลี่ย 0.01% โดยมีมูลค่าอุตสาหกรรมอยู่ที่ 44,236 ล้านบาท ทั้งนี้ ภาพรวมอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมเกมที่หดตัวจากมูลค่าการบริโภคที่ลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

ด้าน น.ส.กษมา กองสมัคร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มงานยุทธศาสตร์และความมั่นคง ดีป้า กล่าวว่า
อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยมีศักยภาพที่จะขยายตัวต่อเนื่อง โดยประเมินว่า ระหว่างปี 2567 – 2569 ภาพรวมอุตสาหกรรมจะเติบโตเฉลี่ย 4% ซึ่งคาดว่ามูลค่ารวมจะอยู่ที่ 46,642 และ 48,936 ล้านบาทในปี 2567 – 2568 และ
อาจพุ่งทะยานถึง 50,694 ล้านบาทในปี 2569 โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากคาดการณ์อุตสาหกรรมเกมที่จะเติบโต
ผ่านโครงการและมาตรการต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมแอนิเมชัน คาแรกเตอร์ และหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวจากการสนับสนุนและความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน

อุตสาหกรรมเกมหดตัวจากการใช้จ่ายของผู้ใช้บริการบนแพลตฟอร์มโมบายที่ลดลง

นายเนนิน อนันต์บัญชาชัย นายกสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย กล่าวว่า ปี 2566 อุตสาหกรรมเกมหดตัวเฉลี่ย 0.78% มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 34,288 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการหดตัวของผู้ใช้บริการเกมบนแพลตฟอร์มโมบายทั้ง iOS และ Android ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งมูลค่าของเกมบนแพลตฟอร์มโมบายคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 54% ของมูลค่าอุตสาหกรรมเกมปี 2565

นายเนนิน กล่าวต่อว่า ปีที่ผ่านมา สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย และเครือข่ายพันธมิตรภาคเอกชนหลายรายร่วมกับ ดีป้า ดำเนินการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ/ผู้พัฒนาเกมผ่านโครงการ Game Online Academy และ Game Accelerator Program Batch 3 ส่วนบุคคลทั่วไปดำเนินการส่งเสริมผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ Esports in School, Esports Online Academy, Esports National Tournament และ Esports Accelerator Program โดยมุ่งเน้นไปที่ผู้พัฒนาเกม เพื่อตีตลาดและเก็บส่วนแบ่งทางการตลาดจากประเทศอื่นที่เป็นประเทศผู้พัฒนาเกมชั้นนำของโลก สร้างทัศนคติที่ดี และส่งเสริม การใช้เกมให้เกิดประโยชน์มากกว่าการเล่นเพื่อความบันเทิง ส่งผลให้มูลค่าของธุรกิจการผลิตผลงานโดยมีทรัพย์สินทางปัญญาของตนเอง (IP Owner) ของเกมไทยยังคงมีมูลค่าราว 680 ล้านบาท

อุตสาหกรรมแอนิเมชันกับการหดตัวของตลาด (อีกครั้ง)

นายสันติ เลาหบูรณะกิจ ผู้แทนจากสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย กล่าวว่า อุตสาหกรรมแอนิเมชันหดตัวเฉลี่ย 10% ในปี 2566 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 3,532 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากปริมาณการจ้างผลิตงาน CG/VFX จากต่างประเทศลดลง เนื่องจากการแข่งขันด้านราคา รวมถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่งธุรกิจการรับจ้างผลิตผลงานภายใต้ลิขสิทธิ์ของผู้อื่นหดตัวลงถึง 12% หรือคิดเป็นมูลค่ามากถึง 397 ล้านบาท

อุตสาหกรรมคาแรกเตอร์ขยายตัวต่อตามกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจากกระแสอาร์ตทอย (Art Toy)

นายสุมิตร สีมากุล นายกสมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย กล่าวว่า อุตสาหกรรมคาแรกเตอร์ปี 2566 ขยายตัวเฉลี่ย 21% โดยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 2,445 ล้านบาท เป็นผลมาจากปริมาณของนักท่องเที่ยวที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก
ของอุตสาหกรรมคาแรกเตอร์เพิ่มขึ้น ประกอบกับกระแสอาร์ตทอยที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้รายได้จาก
การผลิตสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ (Character Merchandising) ขยายตัวถึง 62% คิดเป็นมูลค่ามากถึง 385 ล้านบาท

อุตสาหกรรมหนังสืออิเล็กทรอนิกส์กับการบริโภคคอนเทนต์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

น.ส.ก็วิตา พุกสาย ผู้แทนจากอุตสาหกรรมหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ กล่าวว่า ปี 2566 อุตสาหกรรมหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวเฉลี่ย 7% โดยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 3,971 ล้านบาทจากมูลค่าการบริโภคคอนเทนต์ที่เติบโตต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยคอนเทนต์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นคอนเทนต์นำเข้าและแปลเป็นภาษาไทยผ่านผู้ประกอบการ และแพลตฟอร์มต่าง ๆ จากประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ส่งผลให้การนำเข้าคอนเทนต์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ

นอกจากนี้ ในงานแถลงผลสำรวจข้อมูลและประเมินสถานภาพอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยปี 2566 ยังมีช่วงของการเสวนาในหัวข้อ AI กับอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ เพื่อนร่วมงานคนใหม่ หรือคู่แข่งที่น่ากลัว โดย
ดีป้า มุ่งส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังปฏิวัติวงการดิจิทัลคอนเทนต์อย่างรวดเร็วจากความสามารถในการสร้างสรรค์เนื้อหาได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพ วิดีโอ หรือแม้แต่ข้อความมาทำให้กระบวนการผลิตคอนเทนต์มีความรวดเร็วและเกิดประสิทธิภาพ นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยปรับแต่งคอนเทนต์ให้ตรงตามความสนใจของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) อีกทั้งถูกนำมาใช้ตรวจสอบหาความถูกต้องของข้อมูล และป้องกันการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ ในทางกลับกัน การมาของ AI ยังสร้างความท้าทายใหม่ให้กับภาคอุตสาหกรรม เช่น ปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ หรือการสูญเสียตำแหน่งงานบางประเภท เป็นต้น

“ดีป้า และหน่วยร่วมดำเนินการหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผลสำรวจข้อมูลและประเมินสถานภาพอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ ปี 2566 และคาดการณ์แนวโน้ม 3 ปีจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลของรัฐบาลในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ขณะเดียวกันจะเป็นส่วนช่วยสำคัญเพื่อประกอบการตัดสินใจวางแผนธุรกิจของภาคเอกชนอีกด้วย” รองผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

​ทั้งนี้ ดีป้า ยังมีโครงการดี ๆ อย่าง CONNEXION ที่มุ่งยกระดับองค์ความรู้ พัฒนาชุดทักษะใหม่ด้านดิจิทัลให้กับคนไทย โดยเฉพาะผู้ว่างงานและนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังหางานให้มีความพร้อมต่อการประกอบอาชีพใหม่
ในยุคดิจิทัล และมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทยอย่าง คอนเทนต์ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ หรือจะ ประกอบอาชีพอื่น ๆ ในสายอย่าง ออแกไนเซอร์ นักออกแบบ นักพากย์ นักเล่าเรื่อง ฯลฯ และอีกหนึ่งโครงการกับ
เปิดเมือง เปิดท่องเที่ยวไทยด้วยดิจิทัล กับการพัฒนา ThailandCONNEX เพื่อเป็นแพลตฟอร์มกลางที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางรูปแบบ Business to Business (B2B) ในลักษณะ Wholesales สำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้สามารถเข้าถึง นำเสนอสินค้าและบริการสู่ผู้ให้บริการท่องเที่ยว (Online Travel Agencies: OTAs) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงนักท่องเที่ยว
ทั่วโลกให้กับผู้ประกอบการ ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
ซึ่งที่ผ่านมาโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย มีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร และธุรกิจบริการเช่ายานพาหนะเข้าร่วมแพลตฟอร์ม ThailandCONNEX กว่า 1 แสนราย มีสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวกว่า 2 แสนรายการ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท

0 Shares

ดีพร้อมจับมือเดลต้า อัดฉีดเงินทุนหนุนธุรกิจสตาร์ทอัพไทย ในโครงการ “DIPROM x DELTA ANGEL FUND” ปี 9

ดีพร้อมจับมือเดลต้า อัดฉีดเงินทุนหนุนธุรกิจสตาร์ทอัพไทยในโครงการ “DIPROM x DELTA ANGEL FUND” ปี 9

ปรับฐานสตาร์ทอัพไทย สู่ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมระดับประเทศ


กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลัง บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อัดฉีดเงินทุนหนุนสตาร์ทอัพไทยปรับฐานสตาร์ทอัพไทย สู่ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมระดับสากล ภายใต้โครงการ “DIPROM x DELTA ANGEL FUND 2024” ซึ่งในปีนี้ นับเป็นปีที่ 9 ที่ DIPROM และ DELTA ได้ร่วมมือกันพัฒนาความรู้และทักษะการดำเนินธุรกิจให้แก่ Startup รวมถึงสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน อันจะนำไปสู่การยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการและประเทศต่อไป โดยในปีนี้ได้มอบเงินทุนจำนวน 10 ทีม รวมเงินทุนสนับสนุนทั้งสิ้น 5,000,000 บาท พร้อมโชว์นวัตกรรม อาทิ อากาศยานไร้คนขับขึ้นลงแนวดิ่งประสิทธิภาพสูง, วัสดุดูดซับและห้ามเลือดรูปแบบฟองน้ำที่ทำจากพอลิเมอร์ธรรมชาติ, แพลตฟอร์มไมโครอาเรย์แบบละลายได้สำหรับการนำส่งยา, อุปกรณ์ช่วยพลิกตัวอัตโนมัติเพื่อป้องกันแผลกดทับ และ อุปกรณ์ AI Audiologist สำหรับการคัดกรอง วิเคราะห์ และแนะนำการได้ยิน รวมไปถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ที่พร้อมเข้าสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในปีนี้กว่า 80 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 6 ก.ย. นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวถึงความสำคัญของโครงการว่า “กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมหรือ DIPROM มีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนและพัฒนาผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจ ดังนั้น จึงเดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเริ่มต้นใหม่ หรือสตาร์ทอัพ เพื่อนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งได้ร่วมมือกับ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในโครงการ “DIPROM x DELTA ANGEL FUND” อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 โดยยังคงมุ่งเน้นให้การสนับสนุนเงินทุนเพื่อการจัดตั้งวิสาหกิจเริ่มต้น ด้วยการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ ในกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์พัฒนานวัตกรรมหรือเทคโนโลยีในระยะเวลาจำกัด การสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่อยอดธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์

รวมทั้งส่งต่อนวัตกรรมใหม่ ๆ ไปยังภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้นวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ในการดำเนินธุรกิจในภาพรวม โดยในปี 2567 นี้ทางโครงการได้เพิ่มเติมหัวข้อการใช้นวัตกรรมในรูปแบบการดำเนินธุรกิจ และอยู่ในสาขา Deep Technology และ Soft Power เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความสามารถในการพัฒนา และยกระดับธุรกิจ ให้สามารถแข่งขันได้ในปัจจุบัน โดยมี 10 ทีมที่มีนวัตกรรมโดดเด่นและมีศักยภาพในการเติบโต อาทิ

อากาศยานไร้คนขับขึ้นลงแนวดิ่งประสิทธิภาพสูง: เทคโนโลยีโดรนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ตอบสนองความต้องการในด้านการพัฒนาธุรกิจ อาทิ โดรนขนส่งเวชภัณฑ์เพื่อเข้าถึงบริการทางการแพทย์ในพื้นที่ห่างไกล โดรนเฝ้าระวังพื้นที่ป้องกันการบุกรุก เป็นต้น

วัสดุดูดซับและห้ามเลือดรูปแบบฟองน้ำจากพอลิเมอร์ธรรมชาติ: นวัตกรรมที่สามารถหยุดการไหลของเลือดและเร่งกระบวนการหายของแผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีศักยภาพในการใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินทางการแพทย์

แพลตฟอร์มไมโครอาเรย์สำหรับการนำส่งยา: เทคโนโลยีที่สามารถนำส่งยาในระดับไมโคร ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาและลดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์อุปกรณ์ช่วยพลิกตัวอัตโนมัติเพื่อป้องกันแผลกดทับ: อุปกรณ์ที่ช่วยพลิกตัวผู้ป่วยอัตโนมัติเพื่อลดความเสี่ยงของแผลกดทับ ซึ่งจะช่วยยกระดับการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลและบ้านพักคนชราอุปกรณ์ AI Audiologist สำหรับการคัดกรองและวิเคราะห์การได้ยิน: เทคโนโลยี AI ที่ช่วยในการวิเคราะห์การได้ยินและให้คำแนะนำในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีปัญหาทางการได้ยิน

ด้านนายวิคเตอร์ เจิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การสนับสนุนสตาร์ทอัพเป็นหนึ่งในภารกิจหลักของบริษัทเพราะเชื่อว่าธุรกิจสตาร์ทอัพบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนวัตกรรมของประเทศ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานเอกชนที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม มองเห็นถึงความสำคัญของการร่วมมือกับภาครัฐเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ โดยการเข้าร่วมในโครงการ “DIPROM x DELTA ANGEL FUND” ในปีนี้ โดยได้มอบเงินสนับสนุนให้กับ 10 ทีมที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในพัฒนาเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน จำนวน 5,000,000 บาท การสนับสนุนของบริษัทมุ่งเน้นไปที่การให้ทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสร้างโอกาสในการเข้าถึงตลาด รวมถึงการเสริมสร้างทักษะการบริหารจัดการธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายตลาดและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก

เชื่อว่า การร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐในโครงการนี้จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นการลงทุนที่มีคุณค่าต่ออนาคตของธุรกิจไทย โดยบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะยังคงเดินหน้าสนับสนุนและร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการเติบโตและการพัฒนาของธุรกิจสตาร์ทอัพและ SMEs ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ผลจากการดำเนินงานตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จำนวน 207 ทีม (จากทั้งหมด 415 ทีม) รวมมูลค่ากว่า 33.16 ล้านบาท โดยในปี พ.ศ. 2564 บริษัท สามารถคอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมสนับสนุนทุนให้แก่ผู้ประกอบการ จำนวน 25 ทีม รวมมูลค่า 580,000 บาท ซึ่งการสนับสนุนเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจสตาร์ทอัพและกระตุ้นการเติบโตของนวัตกรรมในประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวอีกด้วย

สำหรับผู้ประกอบที่สนใจเข้าร่วมโครงการเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งธุรกิจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ กองส่งเสริมผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2430 6873 ต่อ 1625 หรือติดตามความเคลื่อนไหวและข่าวสารต่างๆ ได้ที่ www.diprom.go.th

0 Shares

โออิชิ เปิดตัว “จิมมี่-ซี” ขึ้นแท่นพรีเซนเตอร์ครั้งแรก

โออิชิ เปิดตัว “จิมมี่-ซี” ขึ้นแท่นพรีเซนเตอร์ครั้งแรก

พร้อมเขย่าวงการเปิดจิบสัมผัสใหม่ของชาเขียว กับ“โออิชิ กรีนที ชาเขียวกลิ่นข้าวโพดฮอกไกโด น้ำตาล 0%” ชวนแฟนๆ สูดความหอม แล้วซิปความอร่อย งานนี้มีแต่ฟิน!


เรียกได้ว่าปังเกินต้าน เมื่อ โออิชิ กรีนที ผู้นำชาพร้อมดื่มของประเทศไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ดึงสองหนุ่มหน้าใสสุดฮอต “จิมมี่-จิตรพล โพธิวิหค” และ “ซี-ทวินันท์ อนุกูลประเสริฐ” ขึ้นแท่นพรีเซนเตอร์ครั้งแรกกับผลิตภัณฑ์ ใหม่ “โออิชิ กรีนที กลิ่นข้าวโพดฮอกไกโด น้ำตาล 0%” มิติใหม่ของการรวมตัวกันระหว่างความหอม อร่อย สดชื่นของชาเขียวและข้าวโพดฮอกไกโด สูตรไม่มีน้ำตาล หวานเบาๆ ได้ประโยชน์จากชาเขียวแบบเต็ม ๆ งานนี้ โออิชิ กรีนที จัดให้ทั้งทีต้องมีแต่ความยิ่งใหญ่ เนรมิตลานแฟชั่น ฮอลล์ สยามพารากอน ให้เป็นบรรยากาศราวกับทุ่งชาและไร่ข้าวโพดฮอกไกโดที่เต็มไปด้วยความหอม มีสองพรีเซนเตอร์หนุ่มหล่อมาชวนเหล่าแฟนคลับเปิดจิบสัมผัสของชาเขียว โออิชิ กรีนที รสชาติใหม่

เรียกน้ำย่อยก่อนสองหนุ่ม จิมมี่-ซี จะมาถึง ด้วยกิจกรรมออนกราวด์แบบจัดเต็ม อาทิ โซน Sip Sense Station เปิดจิบสัมผัสรูปแบบใหม่ ไม่เหมือนใคร! ในโดมอะคริลิคใส กลางทุ่งชาเขียวข้าวโพด ที่พาคุณเข้าสู่ประสบกาณ์การรับรสแบบ 4 มิติ สัมผัสความหอมที่โดดเด่น มีภาพและเสียงที่ช่วยเพิ่มอรรถรสในการดื่ม เพื่อเปิดจิบสัมผัสใหม่ จาก โออิชิ กรีนที กลิ่นข้าวโพดฮอกไกโด น้ำตาล 0% ให้ความอร่อย สดชื่น ผ่อนคลายแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน, โซน Giant Mock Up จุดถ่ายภาพชิลๆ เหมือนได้ถ่ายภาพในไร่ชาข้าวโพดฮอกไกโด, โซน Sense of Fortune Teller มิติแห่งสัมผัสพิเศษ รับคำทำนายผ่านไพ่ทาโรต์กับแม่หมอประจำโซน และพลาดไม่ได้กับ ตู้ Random Tarot Card ลุ้นสะสมไพ่ทาโรต์ลาย จิมมี่-ซี สุดพิเศษ

งานนี้เมื่อถึงเวลาปรากฏตัวของทั้งสองหนุ่มก็เรียกเสียงกรี๊ดเสียงฮือฮาจากเหล่าแฟนคลับชาวด้อมงั่มงั่มกันแบบดังสนั่นสยามพารากอนแทบแตก เมื่อแม่หมอลึกลับร่ายคาถาใส่กล่องมายากลปรากฏเงาพรีเซนเตอร์หนุ่มคนแรกขึ้นก่อน นั่นคือ จิมมี่-จิตรพล ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวออกมาช่วยร่ายมนตร์เรียก ซี-ทวินันท์ ให้ปรากฏตัวออกมาพบปะกับแฟน ๆ บอกเลยว่างานนี้ทั้งจิมมี่ และ ซี เตรียมตัวมาเสิร์ฟความสนุกและความฟินให้แฟนคลับกันแบบฉ่ำใจไม่ไหว ทั้งร่วมพูดคุยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์โออิชิ กรีนที กลิ่นข้าวโพดฮอกไกโด น้ำตาล 0% พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาที่งานนี้เป็นครั้งแรก และอวดเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาที่สองหนุ่มชวนเปิดสัมผัสความหอม อร่อย และสดชื่น รวมถึงทั้งคู่ยังมีกิจกรรมเซอร์ไพรส์แฟนคลับให้ได้ลุ้นเป็นลัคกี้แฟนขึ้นมาถ่ายรูปบนเวทีและเล่นเกมกันแบบใกล้ชิดสุด ๆ ความพิเศษยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อสองหนุ่มขอส่งท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ตในบรรยากาศสุดผ่อนคลาย ให้แฟนคลับได้ฟินกันถ้วนหน้า

จิมมี่-จิตรพล กล่าวว่า “โออิชิ กรีนที กลิ่นข้าวโพดฮอกไกโด น้ำตาล 0%” ผสานความหอมอร่อยของชาเขียวและข้าวโพดฮอกไกโด เข้ากันได้อย่างลงตัว เพียงแค่เปิดขวด สูดความหอมแล้วยกขึ้นดื่ม ทุกคนก็จะสัมผัสได้ถึงความอร่อย สดชื่นใหม่ของชาเขียว ที่สำคัญเป็นสูตรน้ำตาล 0% ดื่มได้อย่างไร้กังวล แถมยังได้ประโยชน์จากชาเขียวและมีไฟเบอร์แบบเต็ม ๆ เลยครับ”

ซี-ทวินันท์ กล่าวว่า “อยากให้ทุกคนได้ลองสัมผัสกับรสชาติความหอม หวานเบาๆ อร่อยของโออิชิ กรีนที กลิ่นข้าวโพด ฮอกไกโด น้ำตาล 0% ด้วยตัวเอง นอกจากจิบสัมผัสที่จะทำให้ทุกคนประทับใจแล้ว ชาเขียวยังมีคาเทชิน สารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติและขวดนี้มีไฟเบอร์ถึง 5,852 มิลลิกรัม อร่อยและดีต่อร่างกายมากครับ

งานนี้อินเตอร์แฟนรวมถึงแฟนคลับในไทย สามารถชมบรรยากาศงานสด ๆ ได้ทาง Oishi Drink Station Facebook Live https://facebook.com/OishiDrinkStation พร้อมติดตามกิจกรรมดี ๆ จากโออิชิ กรีนที ได้ที่ Oishi Drink Station ผ่านช่องทาง Facebook / YouTube / Twitter / TikTok / Instagram

0 Shares