คลังเก็บหมวดหมู่: แสงแห่งธรรม

วัดตาลเจ็ดยอด รับนโยบายการท่องเที่ยวของพ่อเมืองประจวบฯ จัดพิธีจุดเทียนมนต์อักขระแห่งองค์ท้าวเวสสุวรรณ พร้อมห่มผ้าบวงสรวงสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)

วัดตาลเจ็ดยอด รับนโยบายการท่องเที่ยวของพ่อเมืองประจวบฯ จัดพิธีจุดเทียนมนต์อักขระแห่งองค์ท้าวเวสสุวรรณ พร้อมห่มผ้าบวงสรวงสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)

พุทธศาสนิกชนกว่า 1000 คนแห่ร่วมจุดเทียนอักขระปู่ท้าวเวชสุวรรณ – ห่มผ้าบวงสรวงสมเด็จพุทธจารย์(โต)พรหมรังสี เพื่อหลีกเคราะห์ หนุนดวง เบิกทรัพย์ ปัดเป่าโรคภัย เน้นความเป็นสิริมงคลต่อชีวิต
เมื่อเร็วๆนี้ วัดตาลเจ็ดยอด ต.ศาลาลอย อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้จัดงานพิธีมงคลให้กับพุทธศาสนิกชน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ พิธีห่มผ้าและบวงสรวงสมเด็จพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี องค์ใหณ่ที่สุดและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด พร้อมจัดพิธีจุดเทียนมนต์อักขะแห่งองค์ท้าวเวสสุวรรณ เพื่อหนุนดวงเสริมบารมี ปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปจากชีวิต โดยมี สมคิด จันทมฤก ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส หลวงพ่อพระมหาจำนงค์ เจ้าอาวาสวัดตาลเจ็ดยอด เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยพิธีจุดเทียนครั้งนี้ อาจารย์โอ๊ก แอดไทม์( อาจารย์จักรพงศ์ ภู่ทอง ) เป็นผู้ประกอบพิธี และส.จ.คชาภา โพธิรัชต์ เป็นผู้ดำเนินงานในพิธี

ในงานพิธีครั้งนี้ยังมีนายวรวุฒิ จิรประภานน นายอำเภอสามร้อยยอด นายปทาน พูนสวัสดิ์ ประธานกลุ่มตักบาตรเพ็ญพุทธประจวบคีรีขันธ์ พล.ต.กรพงศ์ แสงทอง รองผู้อำนวยการศูนย์ประสาน การปฎิบัติที่หนึ่งกอ.รมน. นายสราวุธ ลิ้มอรุณรัตน์ นายกอบจ. ประจวบฯกฤษณา แผ่แสงจันทร์ วัฒนธรรมจ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยส่วนราชการและพุทธศาสนิกชนจากพื้นที่ต่างๆเข้าร่วมพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลมากกว่า 1000 คน

ในพิธีมีอาจารย์โอ๊ก เป็นเจ้าพิธีในการบวงสรวง ขอพรบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดเจ็ดยอดทุกพระองค์พร้อมกับห่มผ้าจีวรสมเด็จพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี เพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นพิธีจุดเทียนอักขระขององค์ปู่ท้าวเวสสุวรรณเพื่อหนุนดวงเสริมบารมีปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไปจากชีวิต โดยผู้เข้าพิธีทุกคนจะต้องเขียนสลักชื่อของตนไว้ในเล่มเทียนก่อนจะประกอบพิธีบูชาจุดเทียนอธิษฐานจิตฝึกสมาธิและขอพรเพื่อสังเกตดูน้ำตาเทียมของผู้ร่วมพิธีทุกคนว่า แต่ละคนมีลักษณะน้ำตาเทียนเป็นอย่างไรและตอนเทียนหมดแล้วเป็นอย่างไร หากความหมายของน้ำตาเทียมหรือตอนเทียนไหม้หมดแล้วออกมาในทางที่ไม่ดี ผู้ทำพิธีจะมีวิธีแก้ให้เพื่อให้ความเป็นสิริมงคลต่อไป

นายสมคิด เปิดเผยว่า ประจวบคีรีขันธ์เป็นจังหวัดที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว เจตนาคือทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยชาวต่างชาติ เข้ามาที่จ.ประจวบคีรีขันธ์เพื่อมาพักผ่อน และใช้จ่ายของในจ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีจุดเด่นหลากหลาย ที่เป็นเรื่องของการท่องเที่ยว สำหรับวัดตาลเจ็ดยอด ประชาชนทั้งจ.ประจวบคีรีขันธ์เองรวมทั้งชาวไทยที่อยู่ในจังหวัดอื่นต่างมีความเคารพและศรัทธา จึงกลายเป็นแหล่งดึงดูดที่สำคัญในการท่องเที่ยวหา ที่อ.สามร้อยยอดยังมีส่วนที่เป็นทะเลและภูเขา และยังมีหมู่บ้านรักษาศีล5 หมู่บ้านคุณธรรม ที่ได้รับรางวัลดีเด่นในระดับจังหวัด ถึง ในระดับของภาคด้วย ดังนั้น เวลานักท่องเที่ยวมาที่นี่นอกจากมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอพรแล้ว จะได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมที่เป็นของมีชาติพันธุ์ไทยด้วย จึงขอเรียนเชิญให้ทุกๆท่านได้มาเที่ยวและมากราบสักการะที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จ.ประจวบคีรีขันธ์

ส.จ.คชาภา โพธิรัชต์ เขตอ.สามร้อยยอด จ.ประจวบฯ (ผู้ดำเนินงานจัดทำพิธีครั้งนี้) เปิดเผยว่า ยันต์เทียนเป็นของพิเศษสำหรับคนมีวิชา และยากที่จะสื่อสารให้ถึงใจคนและช่วยให้พ้นเคราะห์ได้ หากเจ้าพิธีไม่มีใจที่บริสุทธิ์ สำหรับอาจารย์โอ๊ก เชื่อได้สนิทใจว่าอาจารย์มีคุณสมบัตินี้ และดีใจที่มีลูกบ้านหลายคนมีชีวิตที่ดีขึ้น และอยากติดตามไปอีกหลายๆที่ที่จะมีพิธีนี้อีก เพราะการสวดยันต์เทียนเป็นจุดตั้งต้นให้คนเข้าถึงการภาวนาแบบเร่งรัดและได้โบนัสพิเศษจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการล้างขยะในจิตใจเราออกเพื่อให้พร้อมรับสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต ยันต์เทียนจึงเป็นทางด่วนของคนที่มีศรัทธา และเป็นความโชคดีที่เราได้เจออาจารย์ทำพิธีถูก นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

นายปทาน พูนสวัสดิ์ (ประธานกลุ่มเพ็ญพุธ จ.ประจวบฯ) เปิดเผยว่า การจัดงานในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัด อยากให้ทางวัดมีการประกอบพิธีใหญ่สักครั้งหลังจากที่ที่ผ่านมา เกิดสถานการณ์โรคระบาด โควิด-19 ทำให้ประชาชนเข้าวัดน้อยลง ประกอบกับปัญหาทางเศรษฐกิจทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความลำบากไม่คล่องตัวในชีวิต จึงอยากให้มีพิธีนี้ขึ้นเพื่อเสริมดวงเสริมบารมีสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านตาลเจ็ดยอดและจ.ประจวบคีรีขันธ์พร้อมทั้งให้พุทธศาสนิกชนทุกคนที่เข้าร่วมพิธีได้ร่วมกันจุดเทียนอักขระบูชาปู่ท้าวเวชสุวรรณเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วหนุนดวงเสริมบารมีให้กับชีวิต

0 Shares

พระราชวชิรรังษี ชี้ “เส้นทางสู่ความสุขและความสมบูรณ์เริ่มจากตัวเรา”

พระราชวชิรรังษี ชี้ “เส้นทางสู่ความสุขและความสมบูรณ์เริ่มจากตัวเรา”

“ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว” สุภาษิตนี้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตเพราะการจะมีชีวิตที่ดีได้นั้นย่อมขึ้นอยู่กับการกระทำในการดำเนินชีวิต เพราะความถูกต้อง ความสุข ความสมบูรณ์ในชีวิตไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามมนุษย์เราล้วนแต่อยากได้และแสวงหาในสิ่งเหล่านี้กันทั้งนั้น แล้วเราจะมีแนวทางการดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อเป็นหนทางสู่ความสุขความเจริญตามที่หวัง พระราชวชิรรังษี เจ้าอาวาสวัดหนังราชวรวิหาร กรุงเทพฯ ได้เมตตาแสดงธรรมเทศนาในหัวข้อ “ชีวิตที่ถูกต้อง” เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในการประพฤติปฏิบัติดีของทุกคน จัดโดยพุทธปัญญาชมรม บมจ.ซีพี ออลล์ และเซเว่น อีเลฟเว่น เพื่อให้ทุกคนสามารถนำธรรมะไปใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างสมบูรณ์และมีความสุขได้อย่างแท้จริง

พระราชวชิรรังษีกล่าวว่า “มนุษย์เราเมื่อมีชีวิตแล้วก็ล้วนอยากมีชีวิตที่ถูกต้องสมบูรณณ์กันทั้งนั้น เพราะปลายทางที่สำคัญสูงสุดของทุกคนคือ การมีความสุข แต่ความสุขที่อยากได้หรือได้มานั้นบางครั้งก็เป็นความสุขที่สุขกายสุขใจจริง ๆ หรือบางครั้งก็เป็นความสุขที่เจือด้วยยาพิษ ความหมายคือความสุขที่ไม่ใช่ความสุขอย่างแท้จริงแต่เป็นความสุขที่เราเข้าใจว่ามันมีความสุข ชีวิตคนเราเมื่อเกิดมานั้นสั้น หากลองมองแบบภาพรวมแล้ว ห้วงแห่งชีวิตแค่ประกอบด้วย การเกิด การเรียนหนังสือ การทำงาน การแต่งงาน มีครอบครัวมีลูกมีหลาน ผ่านไปพักเดียวก็แก่ชราและเสียชีวิตตามอายุขัย แต่ในชีวิตที่สั้น ๆ นี้เราอยากให้ชีวิตของเราถูกต้องสมบูรณ์แบบหรือมีความสุข หลวงพ่อได้อธิบายหลักในการดำรงชีวิตตนเองหรือพิจารณาตัวเอง ไว้ดังนี้
หลักที่หนึ่ง คือ ชีวิตที่จะถูกต้องได้ต้องเว้นจากสิ่งที่ผิด คือ การไม่ทุจริต เราจะต้องเว้นจากกรรม
กิเลส ได้แก่ ละเว้นจากการเบียดเบียนสัตว์รวมถึงมนุษย์ร่วมโลก เว้นจากการลักทรัพย์ และคดโกง
เว้นจากการประพฤตผิดในกามคุณ เช่น การคบชู้ การไปล่วงเกินสามีบุตรธิดาของคนอื่นอย่างไม่ถูกต้อง เว้นจากการพูดจาทำร้ายบุคคลอื่น ทั้งคำพูดที่หยาบคายและโกหกหลอกลวง เว้นจากอคติทั้ง 4 คือ เว้นจากความลำเอียงด้านความรัก,ความเกลียด,ความกลัว, ความโง่เขลาไม่รู้ และการงดเว้นจากอบายมุข เพราะอบายมุขคือหนทางแห่งความเสี่ยง

ทั้งหมดที่กล่าวมาหากเรายังละเว้นไม่ได้ชีวิตของเราก็จะยังไม่ถูกต้องและยังไม่สมบูรณ์เพราะหากเรายังทำผิดประการใดอยู่ก็ถือว่ายังเป็นจุดบกพร่องในชีวิต เพราะความผิดเหล่านี้เป็นมูลเหตุที่ทำให้ชีวิตเรามีความทุกข์ ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้ชีวิตของเราถูกต้องคือเราจะต้องละเว้นจากสิ่งที่ผิดเสียก่อน
หลักที่สอง จะต้องมีต้นทุนชีวิต คือ การหาต้นทุนของชีวิต รู้จักคบเพื่อนคบมิตร เพราะบางครั้งความสุขความเจริญขึ้นอยู่กับเพื่อนด้วย อาทิ การจะประสบความสำเร็จในชีวิตบางครั้งต้องอาศัยเพื่อน อาศัยConnection เพื่อเป็นต้นทุนในชีวิตอีกอย่างหนึ่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใดต้องรู้จักคบเพื่อน แยกแยะให้ออกว่าคนไหนเพื่อนแท้หรือศัตรูในคราบมิตร หากเจอเพื่อนดีก็จะเจริญประสบความสำเร็จและมีความสุข แต่หากเจอเพื่อนไม่ดีก็ย่อยยับ การทำงานหาเงินเพื่อสะสมทรัพย์ จะต้องรู้จักทำงานหาเงินตามหลักทางพระพุทธศาสนาโดยการทำงานหาเงินอย่างถูกต้องชอบธรรมและประกอบอาชีพสุจริต เปรียบเสมือนผึ้งที่ไปหาน้ำหวานที่ใดก็ไม่เคยทำร้ายดอกไม้ดอกนั้นเลย อีกทั้งยังทำคุณประโยชน์ช่วยสร้างเกสรทำให้ดอกไม้ดอกนั้นเจริญงอกงามออกดอกออกผลได้


ท่านได้อธิบายถึงการบริหารจัดการทรัพย์ที่เราหามาได้อย่างถูกต้อง ประกอบด้วย การเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวให้มีความสุข, นำไปลงทุนต่อยอดเพื่อให้ออกดอกออกผล, เก็บอดออมไว้เป็นหลักประกันชีวิตของเราเพราะชีวิตของมนุษย์ไม่มีอะไรแน่นอนดังนั้นเราต้องเก็บเงินไว้เพื่อเอาไว้ดูแลตัวเองในยามลำบาก ยามเจ็บป่วย ยามแก่ชรา หลักที่สาม ต้องรู้จักทิศทางของชีวิต ซึ่งการมีทิศทางเป็นของตนเองนั้น ประกอบด้วย
ทิศเบื้องหน้า คือ บิดามารดา เราต้องรู้จักหน้าที่ของความเป็นลูกทำดีกับพ่อแม่ทิศเบื้องขวา คือ ครูบาอาจารย์ ทำหน้าที่ของลูกศิษย์ที่ดี เชื่อฟังคำสั่งสอน เคารพนับถือหรือตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
ทิศเบื้องหลัง คือ สามีภรรยา ทำหน้าที่ของความเป็นสามีหรือภรรยาให้ถูกต้องเหมาะสมต้องไม่นอกใจกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ทิศเบื้องซ้าย คือ มิตรสหาย ต้องซื่อสัตย์ต่อกัน จริงใจต่อกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้คำแนะนำในทางที่ดีต่อกันทิศเบื้องบน คือ ศาสนา ทำหน้าที่ที่ดีในการเป็นศาสนิกชนที่ดี ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอน หลักที่สี่ ต้องไปให้ถึงจุดหมายของชีวิต คือ การตั้งเป้าหมายที่ดีและดำเนินชีวิตให้บรรลุเป้าหมายนั้นเพราะฉะนั้นการดำเนินชีวิตจะไปได้ด้วยดีตามทำนองคลองธรรมหรือเป็นไปตามยถากรรมล้วนขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตของเรา โลกนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากการกระทำของมนุษย์ เมื่อเราประพฤติดีเราย่อมได้ดี เมื่อเราประพฤติไม่ดีผลที่ตามมาก็ย่อมไม่ดีเช่นเดียวกัน

พบกับกิจกรรมเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ ได้ทุกวันศุกร์ เวลา 12.00-13.30 น. ผ่านช่องทาง facebook fanpage CPALL หรือสามารถรับฟังย้อนหลังได้ที่ช่องทางเดียวกัน พร้อมรับฟังคติธรรมดี ๆ ในช่องทาง TikTok ได้ที่ ธรรมะ TikTok

0 Shares

ชมรมจิตสาธารณะ – พุทธปัญญาชมรม ซีพี ออลล์-พนักงานเซเว่นฯ ร่วมบำเพ็ญประโยชน์ วันอาสาฬหบูชา พร้อมทำกิจกรรมทางศาสนา “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ” สัญจร ที่วัดอุทัยธรรมาราม ลาดกระบัง

ชมรมจิตสาธารณะ – พุทธปัญญาชมรม ซีพี ออลล์-พนักงานเซเว่นฯ ร่วมบำเพ็ญประโยชน์ วันอาสาฬหบูชา พร้อมทำกิจกรรมทางศาสนา “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ” สัญจร ที่วัดอุทัยธรรมาราม ลาดกระบัง

เนื่องในวันอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนา ชมรมจิตสาธารณะ ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ พุทธปัญญาชมรม จึงได้ร่วมกับศูนย์กระจายสินค้าเซเว่น อีเลฟเว่น สุวรรณภูมิ(ลาดกระบัง) สำนักปฏิบัติการ พร้อมด้วยผู้บริหาร พนักงาน จัดกิจกรรม “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ” สัญจร เพื่อส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ พนักงาน ประชาชนได้ร่วมทำบุญ และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ วัดอุทัยธรรมาราม ลาดกระบัง กรุงเทพฯ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 ก.ค.
นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ในฐานะประธานชมรมจิตสาธารณะ ซีพี ออลล์ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสืบสานพระพุทธศาสนา จัดให้มีการไหว้พระ สวดมนต์ ฟังธรรม ถวายผ้าป่า ถวายเทียนจำนำพรรษา แล้วยังเปิดโอกาสให้ผู้บริหาร พนักงาน และประชาชนได้ร่วมทำบุญใหญ่ บูรณะทาสีรั้วกำแพงวัด กวาดลานวัด และปรับภูมิทัศน์วัด รวมทั้งหมดยังมีญาติธรรมที่ติดตามโครงการเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ เป็นประจำเข้าร่วมกิจกรรม


สำหรับกิจกรรมเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ สัญจร วันอาสาฬหบูชาในปีนี้ นับเป็นการทำบุญอย่างมีสีสัน เป็นการสร้างคนให้มีจิตสาธารณะ มีจิตใจที่อยากช่วยเหลือผู้อื่น รู้จักการทำงานเป็นทีม ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา นับเป็นการสร้างพื้นที่ความสุข และความสามัคคีในหมู่พนักงาน ผู้บริหาร ได้มีโอกาสได้ร่วมสร้างสรรค์สิ่งดีๆสู่สังคม ตามปณิธานองค์กร “Giving & Sharing”

กว่า 11 ปี ที่ชมรมจิตสาธารณะ ซีพี ออลล์ได้นำทีมพนักงานเซเว่น อีเลฟเว่น ลงพื้นที่ร่วมกับชุมชน และส่วนท้องถิ่นต่างๆ ในการทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ อาทิ ร่วมกับ “วันสร้างสุข” ร่วมลงพื้นที่ฟื้นฟูผู้ประสบภัย จ.อุบลราชธานี, ร่วมกับผู้นำชุมชน ลงพื้นที่ฟื้นฟูโรงเรียนโรงเรียนบ้านเตว็ดนอก จ.สุโขทัย

ร่วมกับผู้นำชุมชนจัดบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ ฟื้นฟูสถาบันการศึกษาโรงเรียนวัดจันดี จ.นครศรีธรรมราช, จัดกิจกรรม “คืนอาคารเรียน และมอบแสงสว่าง ให้น้อง” ที่โรงเรียนหลวงสินธ์ุราษฎร์รังสฤษฎ์ จ.สมุทรสาคร, ซ่อมแซมศาลาเอนกประสงค์ จุดล้างมือ ทาสีเสาโรงเรียน ซ่อมแซมระบบไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ มอบถังดับเพลิง ชุดยาสามัญ กิจกรรมอบรมดับเพลิงเบื้องต้น และกิจกรรมสันทนาการ โรงเรียนหนองไหลหนองบัวทอง และโรงเรียนเพี้ยฟานโนนตุ่น จ.ขอนแก่น เป็นต้น ชมรมจิตสาธารณะ ซีพี ออลล์ พร้อมร่วมแรงร่วมใจดูแลชุมชน สังคม สร้างชุมชนอุ่นใจ ตามกลยุทธ์ความยั่งยืนขององค์กร

0 Shares

เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ สัญจร “วันวิสาขบูชา”

เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ สัญจร “วันวิสาขบูชา”

วันวิสาขบูชา หรือวันเพ็ญเดือน 6 เป็นวันที่สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ในวันและเดือนเดียวกันเมื่อกว่าสองพันหกร้อยปีมาแล้ว ในวันวิสาขบูชานี้ พุทธศาสนิกชนนิยมไปวัด ทำบุญตักบาตร ฟังธรรม เวียนเทียน และรักษาอุโบสถศีล เพื่อน้อมระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

พุทธปัญญาชมรม โดย บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ภาคเอกชนที่ดำเนินนโยบายส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมตามหลักพุทธศาสนามาอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ กว่า 28 ปี ได้เชิญชวนพนักงานร่วมทำกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนา “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ สัญจร วันวิสาขบูชา” โดยนางปรางรัตน์ เกียรติทรงศักดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพี ออลล์ และประธานพุทธปัญญาชมรม นำพนักงาน เข้าร่วมอย่างคับคั่ง


กิจกรรมเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ สัญจร ในครั้งนี้ได้นำผู้เข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์เจริญภาวนา ฟังธรรมเทศนา “นวมงคลธรรม” และเวียนเทียนรอบอุบสถ ณ วัดเขาดิน อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ซึ่ง เป็นที่พุทธศาสนิกชนให้ความนับถือศรัทธา สักการะรอยพระพุทธบาท พระปางห้ามญาติโบราณ รูปเหมือนพระเกจิอาจารย์ 59 รูป และพระมหาธาตุเจดีย์รัตนสุนทรประชาสรรค์ และเที่ยวชมแลนมาร์กใหม่ สไตล์ญี่ปุ่น
นอกจากนี้ยังได้ชิม ชอป ณ ตลาดสามชุก ตลาดโบราณที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสุพรรณบุรี งานนี้จึงอิ่มบุญ อิ่มใจกันถ้วนหน้า

พบกับกิจกรรมเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ ได้ทุกวันศุกร์ เวลา 12.00-13.30 น. ผ่านช่องทาง facebook fanpage CPALL หรือสามารถรับฟังย้อนหลังได้ที่ช่องทางเดียวกัน พร้อมรับฟังคติธรรมดีๆ ในช่องทาง TikTok ได้ที่ ธรรมะ TikTok

0 Shares

ครูเงาะ ติด “กระดุมเม็ดแรกของการดับทุกข์”

ครูเงาะ ติด “กระดุมเม็ดแรกของการดับทุกข์”

ชีวิตทุกคนเกิดมามีความแตกต่างกัน แต่ประสบการณ์ สิ่งที่ประสบพบเจอได้นำพาให้ชีวิตมุ่งมั่นไปสู่จุดหมายและความสำเร็จ หากมีความตั้งใจอันมุ่งมั่น ตัวอย่างของบุคคลที่มีใจแน่วแน่ในการศึกษาธรรมะและเรียนรู้แนวทางการพ้นจากความทุกข์ ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ นักพัฒนาศักยภาพมนุษย์และครูสอนการแสดง ได้มาแบ่งปันประสบการณ์และสนทนาธรรมในหัวข้อ “ธรรมะทำ ทำไมธรรมมะ” บนเวที เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่น จัดโดย พุทธปัญญาชมรม บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่
ครูเงาะเริ่มเล่าเรื่องในวัยเด็กว่า ที่บ้านของครูเงาะนั้นคุณพ่อชอบยิงนกตกปลา วนคุณแม่จะใส่บาตรสวดมนตุ์กวัน พี่สาวของครูเงาะประสบอุบัติเหตุจากไปตั้งแต่ครูเงาะยังไม่เกิด และคุณพ่อก็จากไปตอนครูเงาะอายุได้ 6 ขวบ ด้วยโรคตับแข็ง ครูเงาะเล่าว่าที่คุณแม่ผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาได้เพราะคุณตาคุณยายเป็นสายธรรมะเหมือนกัน บอกกับคุณแม่ว่า บุญเขามาแค่นี้ ที่เป็นความเชื่อแบบคนไทยพุทธ บุญเขาหมดแค่นี้ ถึงเวลาที่ต้องไป ไม่เอาผิดคนที่ขับรถมาชนลูก แม้แต่บาทเดียวแม่ก็ไม่ได้เอา เพราะแม่มีความรู้สึกว่า ถ้าถึงเวลาต้องตาย เขาต้องตาย แม่เป็นคนเชื่อในเหตุของกรรมมากๆ จึงก้าวข้ามเหตุการณ์นั้นมาได้

ครูเงาะยังเล่าอีกว่า ที่บ้านจะทำบุญแบบประเพณีนิยม ก็คือสวดมนต์ที่เราไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร ใส่บาตรแล้วก็หวังว่าทุกอย่างชีวิตเราจะดีจากการใส่บาตร แล้วก็ได้ทำบุญกับพระอริยะ เพราะที่แถวบ้านจะมีสำนักสงฆ์ที่หลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุยส์ท่านจะมาอยู่ตรงนั้นประจำ พี่ชายก็จะพาไปกราบหลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุยส์ตั้งแต่เด็ก เดินสายหาพระทางอีสานตรงไหนว่าดีก็ต้องไปกราบท่านหวังจะเอาบุญมาไว้กับตัวของเรา แต่เชื่อไหมว่าตลอดระยะเวลาที่เราเดินสายแบบนั้น เงาะเกือบเอาตัวไม่รอดกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นคนอารมณ์เย็น แต่ไม่ยอมคน ไม่ยอมเอาซะจริงๆ เลย แม้ในตอนเด็กเวลาเถียงแม่ก็เถียงคำไม่ตกฟาก โตมาพอมีแฟนก็ทะเลาะกับแฟนไม่ลดละจนเกือบตายบนถนน แต่วันนั้นพอขับรถออกมาสติมันถึงมาเพราะความทุกข์มันดับ สติมันค่อยผุด ปัญญามันผุดขึ้นมาความละอายก็เกิดเห็นหน้าแม่ลอยขึ้นมา ทำไมวันนี้เด็กคนนี้ถึงโง่ขนาดที่ให้อารมณ์ควบคุมผลลัพธ์ในชีวิต

สิ่งที่ทำถัดมา คือครูเงาะออกเดินทางตามหาหนทาง เลยไปเรียนนั่งสมาธิ นั่งนานบางทีนั่ง 2 ชั่วโมงก็นั่ง นั่งก้าวข้ามเวทนาได้ก็นึกว่าเป็นฮีโร่ นั่งเห็นแสงไฟวิบวับก็นึกว่าใช่ ไม่ได้รู้เรื่องเลย ไม่ได้แตะแก่นพุทธศาสนาเลย ชอบความสงบ ใครมาทำให้ไม่สงบก็ด่าอีก พอหาเรียนเมืองไทยแล้วต้องไปเรียนต่างประเทศ จ่ายเงินเรียนถึง 300,000 บาท ไปเรียนที่เยอรมัน เค้าบอกว่าคนนี้เก่งมาก สอนเรื่องขันธ์ แล้วสอนแค่ 2 ขันธ์สอนแบบผิวเผินไม่ได้ลงลึก ซึ่งเราเคยอ่านเรื่องนี้จากหลวงปู่ชามาก่อน เพราะสมัยเป็นเด็กมีความสนใจเรื่องนี้ เป็นคนชอบเรียนพุทธศาสนาตั้งแต่เด็ก เป็นตัวแทนห้องเรียน ผู้ประกาศพุทธศาสนา รู้ทุกอย่างแต่ไม่เข้าใจซักอย่าง ท่องได้หมด อิทธิบาท 4 สังฆวัตถุ 4 ได้หมด แต่เอาไปใช้ไม่เป็น เงาะอ่านหนังสือหลวงปู่ชาท่านสอนเรื่องสัญญาสังขารไว้ท่านบอกว่า ถ้าเกิดวันนี้เราเอาโถชักโครกที่เพิ่งออกจากโรงงานมาใหม่ แล้วเอาอาหารตักไปใส่ตรงนั้น ให้พวกเรากิน พวกเราก็จะไม่อยากกิน เพราะสัญญาของเรามันฝังไว้ เราโดนสัญญาหลอก สัญญาคือความทรงจำใช่ไหม ทีนี้ฝรั่งฝรั่งเค้าสอนวันสุดท้ายก่อนจะกลับบังคับให้ทุกคนแชร์ ก็เลยยกเรื่องที่หลวงปู่ชาสอน คนในห้องประมาณ 20% เดินมาหาครูเงาะแล้วบอกว่าฉันนั่งเรียนอยู่ไม่รู้เรื่องเลยเพิ่ง เพิ่งเข้าใจตอนเธอแชร์ อาจารย์ของเธอเป็นใคร ตั้งเจตนาเลยวันนั้นว่าขอให้ข้าพเจ้าได้พบครูบาอาจารย์ที่ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจแก่นธรรมของพระศาสนาด้วยเถิด
เชื่อไหมว่า 2600 กว่าปีมาแล้ว ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดเลยสามารถคัดค้านคำสอนของพระพุทธได้แม้แต่ข้อเดียว มีแต่นักวิทยาศาสตร์ตามทุกอย่าง เรื่องที่ท่านบอกไว้หมด ลำไส้ขนาดไหน สั้นขนาดไหนนี่อยู่ในพระไตรปิฎกในร่างในไส้ของมนุษย์มีพยาธิอยู่จำนวนเท่าไหร่ บอกระยะเด็กในครรภ์มารดาบรรยายไว้หมดแล้ว ฉะนั้นแหล่งความรู้ที่เพียงพอแล้วต่อการดับทุกข์มันอยู่ในพระไตรปิฎก

วันหนึ่งครูเงาะได้ไปเจอพระอาจารย์ต้น ธรรมนาวา ท่านก็เป็นพระปฏิบัติชอบ ท่านเป็นพระที่อยู่ในป่าแล้วออกมาเพื่อเผยแผ่ธรรมของท่าน ท่านบวชตั้งแต่ปี 2543 แล้วออกมาเริ่มเผยแผ่ตั้งแต่ปี2547แต่ท่านทำเงียบๆ อยู่ในป่าที่จังหวัดเชียงราย ในอดีตครูเงาะจะเป็นคนที่มีอัตตามานะสูง เพราะว่าด้วยความที่เป็นคนไม่ยอมคน นี่คือสันดานของเราที่ติดมาแล้ว แต่ละคนมีสันดานไม่เหมือนกันบางคนจะเป็นขี้กลัว บางคนจะเป็นขี้โกรธ บางคนจะเป็นถือดีบางคนจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ของครูเงาะจะเป็นเรื่องของความถือดี แต่แปลกมากทันทีที่อ่านธรรมะของพระอาจารย์ต้น ก็เกิดภาวะที่ใจเราไม่ต้านเลย รู้สึกนอบน้อม จึงลองเข้าไปฟังธรรมของท่านสิ่งที่ท่านสอนมันดับทุกข์ในชีวิตของเราได้จริงๆ
พระพุทธเจ้าสอนอะไร พระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นผู้คิดค้นพระพุทธศาสนาท่านเป็นคนค้นพบ เพราะสิ่งที่ท่านสอนนั้นมันมีอยู่แล้วในโลก แม้ท่านจะสอนหรือไม่สอนสิ่งนี้มีอยู่ในโลก แต่ท่านมาสอนให้เราเห็นทาง พระไตรปิฎกเป็นธรรมะจากพระพุทธเจ้า ซึ่งเรามีเอาไว้ใช้ แต่ปัญหาของคนไทยคือมีเอาไว้สวด ซึ่งพระพุทธเจ้าเคยห้าม ศาสนาพุทธแปลว่าการประกาศ ย้ำสอนจิตเพื่อเอาไปใช้จริงในชีวิต ฉะนั้นพระพุทธศาสนาไม่เน้นการสวดมนต์ พระพุทธศาสนาให้กล่าวพร่ำสาธยาย แต่สาธยายในอดีตสาธยายกันเป็นภาษามคธ เป็นภาษาธรรมชาติที่พูดภาษามคธหรือบาลีตัวเขียนเป็นอันเดียวกัน แต่การท่องไม่ผิดถ้าเราเข้าใจความหมาย
เมื่อเราปฏิบัติธรรม สิ่งแรกที่เรานึกถึงคือ การนั่งสมาธิ ระดับของสมาธิแปลว่าจิตตั้งมั่น พระพุทธเจ้าตรัสถึง คุณของสมาธิไว้ 4 ประการ หนึ่งสมาธิที่พวกเรานั่งหลับตากันจะช่วยทำให้สงบสบายใจ แต่ไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ ท่านสรรเสริญว่า ถ้าจิตมันฟุ้งมากก็นั่งสงบใจ นั่งสงบใจได้ความสงบ
สมาธิแบบที่สองคือ เพื่อฤทธิ์ ซึ่งก็มีจริง เราก็จะเห็นข่าวปลุกเสก หรือบางคนนั่งสมาธิเจอนิมิตก็ออกมาใบ้หวยต่างๆ เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันเราไปติดอยู่ที่ฤทธิ์เป็นส่วนใหญ่
สมาธิระดับที่สามคือเพื่อสร้างสติ
สมาธิตัวที่สี่ต่างหากที่พระพุทธเจ้าบอกว่าใช้เพื่อการดับทุกข์นั่นคือสมาธิในการตั้งมั่นเห็นขันธ์ 5 เกิดดับ
เราเห็นขันธ์ห้าเกิดดับเฉยเฉยเราเรียกว่าแค่สติ แต่ถ้าเมื่อไหร่จะพ้นทุกข์ได้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนเลย อริยสัจสี่เป็นเส้นทางเดียวที่จะทำให้ออกจากเวียนว่ายตายเกิดได้ต้องมีอริยสัจสี่เข้าจับ

ครูเงาะเจริญสติมาตั้งแต่หลังจากที่มีเรื่องบนถนน ก็เริ่มไปฝึกสติ เห็นตัวเองมีสติได้กุศลได้ผลแห่งสติ ผลแห่งสติคืออะไร คือพอเห็นความโกรธ รู้ว่าความโกรธ ก็นึกว่าเราปฏิบัติแล้ว โกรธรู้ว่าโกรธ เศร้ารู้ว่าเศร้า อกหักรู้ว่าอกหัก ตอนนั้นร้องไห้ก็รู้ว่าร้องไห้ ก็ดูมันไป แต่สิ่งที่มันขาดคือ กระดุมเม็ดแรก สัมมาทิฏฐิ สมาธิในมรรค 8 คือข้อแรก ทำไมพระพุทธเจ้าถึงตรัสไว้เป็นข้อแรก เป็นสิ่งที่เหมือนกับท่านบอกว่าพระอาทิตย์ ก่อนจะขึ้นเราจะเห็นแสงแรก แสงที่เราจะรู้ว่าอีกไม่นานพระอาทิตย์จะขึ้น เช่นเดียวกันหากคุณจะทำให้ตัวเองเข้าสู่นิพานคุณต้องเห็นแสงแรก คือสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ จึงเป็นธงไชยของทั้งหมด คุณทำทานแต่ไม่มีสัมมาทิฏฐิ คุณก็ได้แค่ระดับบุญ สุดท้ายก็ไปเกิดเป็นเทวดา เทวดาหมดบุญ หมดบุญก็ตกนรกได้

ทุกข์มีไว้รู้ สมุทัยมีไว้ละ นิโรธทำให้แจ้ง มรรคทำให้เจริญ เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้นในจิต ไม่หนี ทนดูความทุกข์นั้นให้ได้ ปัญหาเราคือไม่ทนให้มันดับ ถ้าจะเจริญอริยมรรคในชีวิตจริง ให้ทักว่าสิ่งนี้เป็นความคิดปรุงแต่ง เราแค่รู้ ทุกข์มีไว้รู้ สมุทัยต่างหากที่ให้ละ เกิดจนมันดับเรียกนิโรธ พอมันดับได้ทำให้แจ้ง การเห็นทั้งกระบวนการนี้เรียกว่ามรรค หากเฝ้าดูการเกิดดับนี้ตลอดนี่คือเส้นทางแห่งอริยมรรค
พบกับกิจกรรมเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ ได้ทุกวันศุกร์ เวลา 12.00-13.30 น. ผ่านช่องทาง facebook fanpage CPALL หรือสามารถรับฟังย้อนหลังได้ที่ช่องทางเดียวกัน พร้อมรับฟังคติธรรมดีๆ ในช่องทาง TikTok ได้ที่ ธรรมะ TikTok

0 Shares

พระวิสุทธิวราภรณ์ ชี้ “มีเพื่อนดี ชีวีสุขสันต์”

พระวิสุทธิวราภรณ์ ชี้ “มีเพื่อนดี ชีวีสุขสันต์”

“คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล” เป็นคำสุภาษิตที่หลายคนคุ้นเคยหรือได้ยินมาไม่มากก็น้อย และเป็นคำที่ยังเป็นจริงในทุกยุคทุกสมัย แล้วเราจะเลือกคบคนเช่นไร เพื่อให้นำพาชีวิตของเราไปสู่หนทางที่ดี ที่เจริญ พระวิสุทธิวราภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเทพธิดาราม กรุงเทพฯ ได้เมตตามาแสดงธรรมบรรยาย ในหัวข้อ “มีเพื่อนดี ชีวีสุขสันต์” บนเวที เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่น จัดโดย พุทธปัญญาชมรม บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่

พระวิสุทธิวราภรณ์ กล่าวว่า “มนุษย์นี้เป็นสัตว์สังคม อย่างที่นี่ก็เป็นสังคมหนึ่ง เป็นสังคมที่ชอบฟังเทศน์ ฟังธรรม ชอบทําบุญ โดยมีเพื่อนรักอย่างคุณปรางรัตน์ เกียรติทรงศักดิ์ เป็นกัลยาณมิตร มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม คือเราจะอยู่คนเดียวไม่ได้ ถึงอยู่ได้ก็อาจผิดปกติ แม้แต่ทาร์ซานถูกทิ้งอยู่กลางป่า ก็ยังไม่ได้อยู่คนเดียว เขาก็ยังมีเพื่อนเป็นลิง ค่าง บ่าง ชะนี เพราะการมีเพื่อนทําให้เรารู้สึกดี และเพื่อนมีหลายประเภท ทั้งเพื่อนที่จริงใจ ไม่จริงใจ เพื่อนดี และเพื่อนไม่ดี ถ้าเราเจอเพื่อนที่ดีที่จริงใจกับเราก็ควรที่จะรักษาไว้ แต่ถ้าเพื่อนดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ก็เว้นระยะให้พอเหมาะพอควร เพื่อนสําคัญมาก ๆ โดยเฉพาะเพื่อนที่ดีจะเป็นคนคอยช่วยเหลือ ไม่ทอดทิ้งกันยามลำบาก เพื่อนคือคนที่อยู่รวมกัน ทํากิจกรรมร่วมกัน เกื้อกูลกัน ทําความดีด้วยกันโดยไม่เลือกเชื้อชาติ ชั้นวรรณะ หรือภาษา ซึ่งมันก็จะทําให้โลกนี้น่าอยู่ เป็นโลกที่เกิดสันติภาพได้”
คุณสมบัติของเพื่อนที่ดี คือ
1. ไม่ทำให้เพื่อนเดือดร้อน
เพื่อนที่ดีต้องไม่นินทาว่าร้าย หรือว่าหลอกลวงทําให้เราเสียหาย ประเภทที่ทำให้เสียหน้า เสียตา เสียทรัพย์ เป็นต้นอย่างนี้ต้องเว้นห่าง แต่ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้ อย่างที่เขาบอกกันว่า “ถ้าอยากประสบความสําเร็จต้องคบได้ตั้งแต่พระราชายันโจร” อย่าคิดว่าโจรไม่มีประโยชน์ บางครั้งก็มีประโยชน์ แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง
2. รับฟังความคิดเห็น และปัญหาของเพื่อน
เพื่อนที่ดีต้องคุยกันต้องปรึกษากันได้ คุยกันได้ปรึกษากันได้โดยเฉพาะเรื่องปัญหาชีวิต ปัญหาบางอย่างเพื่อนอาจจะช่วยเหลือกันได้

3. ช่วยเหลือในยามเดือดร้อน
เพื่อนที่ดีต้องช่วยเหลือกันในยามเดือดร้อน ช่วยเหลือในเรื่องต่าง ๆ อย่างบางคนเพื่อนก็ช่วยแนะนำที่ทำงาน ทำให้มีงานทํา ช่วยบอกกล่าวแนะนําอะไรหลาย ๆ อย่าง เป็นที่พึ่งให้ได้ในยามเดือดร้อน
4. ให้คำแนะนำ ชักจูงไปในทางที่ถูกต้อง
เพื่อนที่ดี หรือภาษาพระเรียกว่า กัลยาณมิตร คือเป็นแสงสว่างให้เรา ยามเรามืด เราตัน เราทําอะไรไม่ได้ นึกไม่ออก เพื่อนก็เป็นแสงสว่างได้ หาทางออกให้เราได้ พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า “กัลยาณมิตรเป็นเหมือนแสงสว่างในยามเช้า” ทุกครั้งที่เรามืด เราตัน เราทําอะไรไม่ถูก พยายามมองหาเพื่อนที่จริงใจ บางครั้งปัญหาพวกนี้ เพื่อนอาจช่วยแก้ไขให้ได้
เพราะฉะนั้นมีเพื่อนที่ดีก็ควรรักษาเอาไว้ หนักนิด เบาหน่อย อย่าไปตัดสัมพันธ์ เพื่อนที่ดีเราต้องให้เกียรติ ต้องระมัดระวังคำพูด ยิ่งเพื่อนที่ดีมาก ๆ ยิ่งต้องรักษาน้ำใจ การที่เราจะค้นพบเพื่อนที่ดี ไม่ใช่ของง่าย ๆ เหมือนเพชรในมหาสมุทร แต่เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยวหาได้เยอะแยะ ใครมีเพื่อนที่ดีต้องรักษาเอาไว้ พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ในมงคล 38 ประการ ว่า “อเสวนา จ พาลานํ ปณฑิตานญฺจ เสวนา” กล่าวถึงเพื่อนเป็นข้อที่ 1 ก็เพราะว่าเพื่อนนั้น เป็นบันไดขั้นต้นของความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต จะตกต่ำก็ได้ จะเจริญก็ได้เพราะคบเพื่อน พระพุทธเจ้าให้ระมัดระวังในการคบเพื่อน อย่าคบคนพาล ให้คบบัณฑิต
พบกับกิจกรรมเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ ได้ทุกวันศุกร์ เวลา 12.00-13.30 น. ผ่านช่องทาง facebook fanpage CPALL หรือสามารถรับฟังย้อนหลังได้ที่ช่องทางเดียวกัน พร้อมรับฟังคติธรรมดีๆ ในช่องทาง TikTok ได้ที่ ธรรมะ TikTok

0 Shares

พระสมุหวรคณิสสรสิทธิการ ให้ข้อคิด “ศรัทธาที่ยั่งยืน” บนเวทีเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ

พระสมุหวรคณิสสรสิทธิการ ให้ข้อคิด “ศรัทธาที่ยั่งยืน” บนเวทีเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ

มนุษย์ทุกคนเกิดมาต่างมีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจที่แตกต่างกัน ตามความเชื่อความศรัทธาเป็นปัจเจก แต่ความศรัทธานั้นจะศรัทธาอย่างไรให้ถูกให้ควร ศรัทธาอย่างไรให้เกิดผลดี พระสมุหวรคณิสสรสิทธิการ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน ฯ กรุงเทพ ฯ ได้เมตตามาแสดงธรรมบรรยาย ในหัวข้อ “ศรัทธาที่ยั่งยืน” บนเวที เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่น จัดโดย พุทธปัญญาชมรม บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่

พระสมุหวรคณิสสรสิทธิการ เริ่มกล่าวว่า ศรัทธาเป็นเรื่องแรกของทุกศาสนา ถ้าคนเราหมดศรัทธาแล้วไม่ต้องพูดกันเลย แต่พอมีศรัทธาแล้วนั้น เท่าไหร่ก็เท่ากัน สร้างเจดีย์ใหญ่ ๆ สร้างวัดร้อยล้าน พันล้าน สร้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ก็เกิดจากศรัทธาทั้งนั้น แต่ถ้าเราไม่มีศรัทธาสตางค์แดงเดียวก็ไม่ให้ บางคนพอมีศรัทธาก็ให้หมดเลย ทุ่มหมดเลย ทุ่มจนหมดเนื้อหมดตัว ทุ่มจนลืมตัวก็มี ทุ่มจนลืมครอบครัวก็มี ดังนั้นเราอย่าไปลืมตัว อย่าลืมครอบครัว อย่าไปหลงสิ่งอื่นจนลืมครอบครัว ผลสุดท้ายมันจะวุ่นวายกันไปหมด

ท่านอธิบายว่าในทางพระพุทธศาสนามีศรัทธาสองประเภทคือ ศรัทธา 2 และศรัทธา 4

ประเภทแรก ศรัทธา (สทฺธา) 2 อย่าง คือ ศรัทธาอย่างที่หนึ่ง สทฺธาญาณสมฺปยุตฺต ถึงพร้อมด้วยปัญญา บางคน บางศาสนา ก็ศรัทธาเหลวไหล ศรัทธาไม่รู้เรื่อง ฟังเขาพูดแล้วก็ศรัทธา ไม่สนใจว่ามีเหตุมีผลหรือไม่ ต้องศรัทธาไว้ก่อน อันนั้นก็ไม่ว่ากันมันก็เป็นธรรมดา แต่พระพุทธศาสนาของเรานี้ ศรัทธาแบบนั้นไม่ได้ ศรัทธาต้องมีปัญญาประกอบเรียกว่า สัทธาญาณสัมปยุต ส่วนศรัทธาอย่างที่สอง สทฺธาญาณวิปฺปยุตฺต ศรัทธาที่ไม่มีปัญญา ศรัทธาโง่เง่า ศรัทธาหัวปลักหัวปลำ ศรัทธามิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิด พวกมิจฉาทิฏฐิตายไปก็ตกนรกหมด

ศรัทธา 2 ประเภทนี้ เปรียบเหมือนกับเรือมีหางเสือ กับเรือไม่มีหางเสือ เรือมีหางเสือมันจะไปทางไหนก็แล่นไปได้ จะไปทางเหนือก็หันหัวไปทางเหนือ ไปทางใต้ก็หันหัวไปทางใต้ แต่เรือที่ไม่มีหางเสือหันหัวไปทางเหนือมันก็หันกลับมาทางใต้ พอหันหัวไปทางใต้มันก็หันกลับมาทางเหนือเหมือนเดิม แล้วสุดท้ายมันก็ไม่ไปถึงไหน ฉันใดก็ฉันนั้นคนไม่มีปัญญาเป็นอย่างนั้น เหมือนพายเรืออยู่ในอ่างไม่ได้เจอนิพพานสักที

ประเภทที่สอง ศรัทธา (สทฺธา) 4 อย่าง คือ อย่างที่หนึ่ง คือ กมฺมสทฺธา เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก” สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม คนเรามันไม่เหมือนกัน พี่น้องท้องเดียวกันบางคนก็ไม่เหมือนกัน คนหนึ่งนิสัยดีชอบเข้าวัด อีกคนนี่ชวนเท่าไหร่มันก็ไม่ไป บางคนมาจากนรก บางคนมาจากสวรรค์ บางคนมาจากพรหมโลกเป็นต้น ทุกอย่างล้วนมาจากกรรม “กมฺมํ สตฺเต วิภชติ” กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ปราณีต รวย จน สวย หล่อ ขี้เหร่ สติปัญญาสูงหรือต่ำ ต้องไปอยู่ตรงนั้น ต้องไปเป็นอย่างนี้เพราะกรรมจำแนกไว้หมดแล้ว

อย่างที่สอง กมฺมวิปากสทฺธา เชื่อเรื่องผลแห่งกรรม ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กรรมดี กรรมชั่ว แยกกันไว้หมด ส่งผลกับเราทั้งหมด เชื่อเรื่องวิบากกรรม ผลกรรมที่จะได้รับ

อย่างที่สาม กมฺมสกตาสทฺธา เชื่อว่าเรามีกรรมเป็นของ ๆ ตน กรรมของใครก็ของมัน ผัวทำก็ผัวได้ เมียทำก็เมียได้ ต่างคนก็ต่างกันไปแต่มีกรรมเกี่ยวเนื่องมีกรรมสืบต่อกัน เรื่องกรรมมันซับซ้อน แต่มันแก้ไม่ได้จะไปทำพิธีแก้กรรมอะไรต่าง ๆ มันก็ทำไม่ได้ พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า แก้กรรมต้องแก้ด้วยมรรคมีองค์ 8 ศีล สมาธิ ปัญญา สิ่งเหล่านี้ถึงจะแก้กรรมได้

และอย่างสุดท้าย ตถาคตโพธิสทฺธา เชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เชื่อแบบไม่ได้บังคับให้เชื่อ “อกฺขาตาโร ตถาคตา” ตถาคต (พระพุทธเจ้า) เป็นเพียงผู้บอก จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เราเป็นผู้พิจารณา ใช้การพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลไม่ได้บังคับให้เชื่อ ไม่เหมือนกับศาสนาอื่น ๆ หรือบางศาสนา

หลวงพ่อสรุปเรื่องของศรัทธาว่ามีอย่างที่กล่าวมาแบบนี้เป็นต้น อยู่ที่ว่าเราจะมีศรัทธาอย่างไรกันบ้าง แล้วมันจะเป็นศรัทธาที่ยั่งยืนอย่างไรก็อยู่ที่ตัวเราจะเชื่อจะศรัทธา

พบกับกิจกรรมเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ ได้ทุกวันศุกร์ เวลา 12.00-13.30 น. ผ่านช่องทาง facebook fanpage CPALL หรือสามารถรับฟังย้อนหลังได้ที่ช่องทางเดียวกัน พร้อมรับฟังคติธรรมดีๆ ในช่องทาง TikTok ได้ที่ ธรรมะ TikTok

0 Shares

เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ สัญจร “วันมาฆบูชา”

เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ สัญจร “วันมาฆบูชา”

วันมาฆบูชา หรือวันเพ็ญเดือน 3 เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่เกิดเหตุอัศจรรย์ ซึ่งเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต มีพระอรหันต์ที่เป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา มาชุมนุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายจำนวน 1,250 รูป ที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ และพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่เรียกว่า “โอวาทปาฏิโมกข์” คือ ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำใจให้บริสุทธิ์ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ในวันมาฆบูชานี้พุทธศาสนิกชนนิยมไปวัด ทำบุญตักบาตร ฟังธรรม เวียนเทียน และรักษาอุโบสถศีล

พุทธปัญญาชมรม โดย บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ภาคเอกชนที่ดำเนินนโยบายส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมตามหลักพุทธศาสนามาอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ กว่า 28 ปี ได้เชิญชวนพนักงานร่วมทำกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนา “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ สัญจร วันมาฆบูชา” โดยนางปรางรัตน์ เกียรติทรงศักดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพี ออลล์ และประธานพุทธปัญญาชมรม นำพนักงาน เข้าร่วมอย่างคับคั่ง

กิจกรรมเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ สัญจร
ในครั้งนี้ได้นำผู้เข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์เจริญภาวนา ฟังธรรม และเวียนเทียน ณ วัดตะโก อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียง และพุทธศาสนิกชนให้ความนับถือศรัทธาหลวงพ่อรวย ปาสาทิโก พระเกจิดังที่มีความโดดเด่นด้านมหาลาภ เมตตามหานิยม และเเคล้วคลาดปลอดภัย

นอกจากนี้ยังได้ชิม ชอป ที่ตลาดน้ำอโยธยา ซึ่งเป็นตลาดน้ำที่ใหญ่ที่สุดในพระนครศรีอยุธยา
งานนี้จึงอิ่มบุญ อิ่มใจกันถ้วนหน้า

พบกับกิจกรรมเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ ได้ทุกวันศุกร์ เวลา 12.00-13.30 น. ผ่านช่องทาง facebook fanpage CPALL หรือสามารถรับฟังย้อนหลังได้ที่ช่องทางเดียวกัน พร้อมรับฟังคติธรรมดีๆ ในช่องทาง TikTok ได้ที่ ธรรมะ TikTok

0 Shares

พรดีปีใหม่ จาก พระพรหมดิลก

พรดีปีใหม่ จาก พระพรหมดิลก

เมื่อก้าวสู่ศักราชใหม่ ทุกคนต่างเฉลิมฉลองให้กับชีวิตที่ผ่านเรื่องราวในปีที่ผ่านมา เริ่มต้นสิ่งใหม่ ตั้งเป้าหมายในชีวิตเพิ่อเริ่มต้นปีที่ดี และสร้างความดี พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรุงเทพฯ ได้เมตตามาให้ข้อคิดในการเริ่มต้นที่ดี ในหัวข้อ “พรดี ปีใหม่” บนเวทีเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ
พระพรหมดิลกได้กล่าวถึงการส่งท้ายปีเก่าไว้ว่า “อย่าคิดถึงปีเก่าที่ผ่านพ้นไป ให้คิดถึงสิ่งใหม่ที่กําลังจะเกิดขึ้นและทำให้ชีวิตของเรามีค่ามากขึ้น”พระพุทธเจ้าสอนว่า “อตฺตานํ นาติวตฺเตยฺย” คือ สอนว่าเราอย่าลืมตัวเรา เพราะฉะนั้นเมื่อปีใหม่ย่างเข้ามาในแต่ละปีๆ มันก็ทำให้ชีวิตเราเก่าลงไปแต่ละปีๆ เก่าตรงนี้ก็หมายถึงแก่ลงทุกปีๆ ดังนั้นคุณโยมก็อย่าคิดรักปีใหม่มันมากนัก ถ้าเรารักปีใหม่มันมากนัก ชีวิตเราก็จะเก่าไปไว ไปไวๆ อย่าไปคิดถึง 365 วันที่ผ่านมานี้ ให้นึกต่อจากนี้ไปว่าจาก 365 วันเก่า กับ 365 วันใหม่ เราจะทําอะไรให้กับชีวิตของเรา ของเก่าที่ผ่านไป ถามว่าเราจะเอาคืนมาได้ไหม เราก็เอาคืนมาไม่ได้สักอย่าง แต่ว่าของใหม่ที่กําลังเกิดขึ้นกับตัวเรา เราจะสร้างอะไร เราจะเติมอะไร ให้ชีวิตของเรามันใหม่ขึ้น และทําให้ชีวิตของเรานั้นมีค่ามากขึ้นนี่คือสิ่งที่สําคัญ


สิ่งที่ล่วงไปแล้วเอาคืนมาไม่ได้ และเราจะไปหวังสิ่งใหม่ที่ยังมาไม่ถึงก็ไม่ได้ ให้อยู่กับปัจจุบัน และคิดว่าจะทําอะไรให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิต พระพุทธเจ้าสอนว่า “อตีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ” สิ่งที่ล่วงไปแล้วเราเอาคืนมาไม่ได้ และเราจะไปหวังสิ่งใหม่ที่ยังมาไม่ถึงก็ไม่ได้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ท่านสอนให้อยู่กับปัจจุบัน กับความหมายของชีวิต กับปีใหม่ของชีวิตที่ผ่านมา และที่กําลังมาถึงเราในปัจจุบัน ซึ่งเราก็ยึดถือในคติของโลกที่เค้าบอกว่า วันที่ 1 มกราคม จะเป็นการขึ้นปีใหม่ ก็คือตั้งแต่หลัง 6 ทุ่ม ของวันที่ 31 ธันวาคม 6 ทุ่ม 1 นาที ก็ถือว่าเป็นปีใหม่ นี่เป็นของชาวโลกนิยมกัน แต่ว่าของไทยก็คือเดือนเมษายน 13 เมษายน ก็ถือว่าเป็นปีใหม่ของไทยเพราะฉะนั้นจากปีเก่ามาถึงปีใหม่ ให้เราคิดว่าจะทําอะไรให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตของเรานี่คือสิ่งที่สําคัญ
เอาปัจจุบันไปแก้ไขกับสิ่งที่ล่วงเลยมาแล้ว เพื่อที่เราจะได้สิ่งที่ดีๆ ในอนาคตสืบต่อไป การมองชีวิตพระพุทธองค์ยังสอนว่าให้เรามองดูตรงตัวปัจจุบัน เอาตัวปัจจุบันเป็นตัวที่แก้ไขกับสิ่งที่ล่วงเลยมาแล้ว เพื่อที่เราจะได้อะไรต่อไปที่ดีๆ ในอนาคตสืบต่อไป แม้ว่าในส่วนของอนาคต เราก็อย่าไปคิดว่าจะได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาของเรา เราอาจจะไม่สามารถได้ในสิ่งนั้น เพราะชีวิตของคนเราที่เกิดมานี้ เราก็เกิดมาอยู่ในฐานะที่ต่างกัน ก็เพราะเหตุว่าเราสร้างฐานะของบุญกุศลมามันไม่เท่ากัน

กาลเวลาย่อมกลืนกินชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายพร้อมกับตัวของมันเอง คุณโยมอย่าไปยินดีกับปีใหม่มากนัก เพราะว่ายิ่งปีใหม่มาถึงเราไวเท่าไหร่ชีวิตของเราก็หมดไปเท่านั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า “กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา” กาลเวลาย่อมกลืนกินชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายพร้อมกับตัวของมันเอง ปีหนึ่งผ่านไปอายุของเราก็เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ปี ปีที่ 2 ก็เพิ่มเป็น 2 ปี เพิ่มเป็น 3 ปี 4 ปี มากระทั่งจนถึงปัจจุบันนี้ มันผ่านไปเท่าไหร่แล้วจะไปเอาวัยที่เก่าแล้ว เอาขึ้นมาใหม่ก็เอามาไม่ได้ เพราะมันผ่านแล้ว มันผ่านเลยไม่มีโอกาสที่จะกลับมา
ในอดีตนั้นเราขาดอะไร พยายามมาเติมในปีใหม่ให้เต็ม จงเริ่มต้นชีวิตใหม่ของปีใหม่ โดยการมองหาสภาพหลังกับชีวิตของเรา ก็คืออดีตนั่นเองว่าสิ่งที่เป็นอดีตนั้นเราขาดอะไร คุณโยมขาดอะไรบ้าง แล้วพยายามมาเติมเต็มในปีใหม่ให้เต็ม สมมติว่าเราให้ทานน้อยไป เราก็มาเพิ่มการให้ทานของเรา เรามีเวลารักษาศีลน้อยไป เราก็มาเพิ่มการรักษาศีลของเราให้มากขึ้น จากแต่ก่อนถือศีลได้ข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ข้อ 4 ได้มา 4 ข้อ ปีนี้ก็เอา 5 ข้อ ให้มันเพิ่มขึ้นมา จากการที่เราเจริญจิตภาวนา เรานั่งเกินนาที 4 นาที 5 นาที แล้วมันก็ได้แค่นั้น ขึ้นปีใหม่ตั้งต้นใหม่แล้ว 5 นาที ไม่พอ เพิ่มเป็น 10 นาที วันหนึ่ง 10 นาที เดือนหนึ่งก็เท่าไหร่แล้ว 30 วัน ก็เท่ากับ 300 นาที คิดเป็นชั่วโมง เดือนหนึ่งก็ได้เท่าไหร่แล้ว และที่สุดพอถึงสุดท้ายของชีวิตของเรา เราจะนั่งสมาธิได้เท่าไหร่ จะรักษาศีลของเราให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นอีกเท่าไหร่


อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสัจธรรม เมื่อเราไม่สามารถเอาอะไรคืนมาได้ ปีใหม่เราต้องเพิ่มคุณธรรมให้เกิดขึ้น คือสร้างความดีให้เกิดขึ้น เรื่องของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจังคือความเปลี่ยนแปลง ทุกขังคือมันทนไม่ได้อยู่ในลักษณะเดิมของมันที่แปลว่าเป็นทุกข์ คือร่างกายของคนเรามันไม่สามารถจะอยู่ในสภาพเดิมของมันได้ มันจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของมัน จะไปแก้ไขยังไงก็แก้ไขไม่ได้ มันเป็นสัจธรรมความเป็นจริงของสังขารของพวกเรา แล้วรูปที่ว่าเป็นอนัตตา คือมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของคนเรา เพราะว่ามันประกอบกันมันรวมกัน ในธาตุทั้ง 4 รวมกันอยู่ สมควรหรือที่เราจะไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรม เรื่องอนัตตลักขณสูตรว่า “ตํ กึ มญฺญถ ภิกฺขเว” เธอสำคัญรูปนี้เป็นยังไง รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง รูปเป็นทุกข์หรือไม่ทุกข์ รูปเป็นอนัตตาหรือไม่เป็นอนัตตา พระพุทธเจ้าถาม ภิกษุก็ตอบ รูปไม่เที่ยง รูปเป็นทุกข์ รูปเป็นอนัตตา ก็ตอบตามที่พระพุทธองค์ถาม เพราะมันเป็นเรื่องของสัจจะความเป็นจริง บุคคลเราเมื่อถูกความแก่เข้าครอบงำ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ชราชชฺชริตา โหนฺติ หตฺถปาทา อนสฺสวา” ร่างกายของพวกเราเมื่อถูกความแก่เข้ามาครอบงําแล้ว แม้แต่มือและเท้ามันก็สั่งงานไม่ได้ จะให้มันเดินตรงๆ บางทีมันก็ไม่ตรง จะให้หลังมันไม่งอมันก็ไม่ได้แล้ว เพราะมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง มันเป็นสภาพความเป็นจริงของสังขาร สังขารของคนเรามันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจในส่วนตรงนี้แล้ว ทำการปฏิบัติที่มันถูกต้อง เราไม่ควรที่จะยึดมั่นถือมั่นจากอุปาทานที่มันเกิดขึ้นกับตัวของเรา แล้วอย่าไปขอร้องว่า ตัวเราอย่าแก่ ตัวเราอย่าเจ็บ ตัวเราอย่าตาย อย่างนี้มันขอกันไม่ได้ เมื่อเราขอร้องในสิ่งทั้งหลายที่มันเป็นไปตามกฏของพระไตรลักษณ์ไม่ได้ เมื่อเราไม่สามารถเอาอะไรคืนมาได้ สิ่งที่เราจะเพิ่มขึ้นใหม่กับปีใหม่กับชีวิตของเรา คือเราต้องเพิ่มคุณธรรมที่เกิดขึ้น คือสร้างความดีให้เกิดขึ้น
เราต้องคิดอยู่เสมอว่าชีวิตของเราได้เกิดมาในชาตินี้แล้ว เราเกิดมาเพื่อสร้างคุณงามความดี เพื่อที่ว่าเราจะได้เกิดต่อไปๆ จนกว่าจะถึงชาติสุดท้าย ก็คือการบรรลุนิพพาน ปีใหม่ต้องสร้างความดีให้ชีวิตของเราใหม่ คือใหม่ทั้งส่วนกาย และใหม่ทั้งส่วนใจ
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบสาระดีๆ จากเวที “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ” แบบนี้ สามารถรับฟังสด และย้อนหลังได้ทาง facebook fanpage CAPLL ทุกวันศุกร์ เวลา 12.00-13.30 น. นอกจากนี้ ยังมีคติธรรมดีๆ ฟังง่ายๆ ผ่าน TikTok ที่ ธรรมะTikTok

0 Shares

7 ข้อคิดธรรมมะดีๆ ปี 2566 จากเวที “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ”

7 ข้อคิดธรรมมะดีๆ ปี 2566 จากเวที “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ”

ปี 2566 กำลังจะผ่านพ้นไป เริ่มต้นศักราชใหม่ ด้วยความไม่ประมาท และเพื่อเป็นข้อคิดเครื่องเตือนใจ พร้อมรับมือกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่จะเข้ามาในชีวิต โครงการเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ ได้รวบรวม 7 ธรรมะ และประสบการณ์ดีๆ จาก 7 พระอาจารย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ได้กรุณามาแสดงธรรมบรรยายบนเวที “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่น” ในปี 2566 ซึ่งจัดโดย บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ขอส่งมอบแทนคำอวยพรดีๆ ต้อนรับปีใหม่ที่จะก้าวมาถึงนี้

พระครูเมตตาปุญโญภาส เจ้าคณะอำเภอบางสะพาน เจ้าอาวาสวัดทางสาย จ. ประจวบคีรีขันธ์ ได้กล่าวถึงคำว่า “ทาง” ไว้ว่ามีทางหลายประเภท ทางเกวียน ทางลูกรัง ทางถนนลาดยาง ทางคอนกรีต ทางรถ ทางเรือ ทางบิน ทางรถไฟ พวกนี้เรียกทางสัญจร ทางนี้ใครๆก็ไปได้ คนก็ไปได้ สัตว์ก็ไปได้ คนดีคนชั่ว ก็ไปได้ ส่วนทางที่สอง คือ ทางไปสู่สุขคติ ไปแบบธรรมดาไม่ได้ ต้องมีสัจจะ มีความจริงใจ รู้จักทำบุญ รู้จักทาน เป็นผู้ให้ เสียสละ ให้วัตถุข้าวของ ให้เสื้อผ้า ยารักษาโรค เครื่องอุปโภคเงินทอง ที่อยู่ที่อาศัย ให้อภัยซึ่งกันและกัน ให้ธรรมะนั้นเป็นไปเพื่อไมตรี ส่วนทางที่สาม คือทางไปสู่เทพเจ้า จิตใจต้องกว้างขวาง ใครด่าว่าก็เฉย ไม่เคืองไม่โกรธ เทพเจ้า คือ ผู้ขจัดปัดเป่าความทุกข์ยากให้ประชาชน ถ้าจิตใจไม่เป็นเทพเจ้า เราตายแล้วจะไปเป็นเทพไม่ได้ จิตใจมีพลังได้ก็ต้องฝึก และทางที่สี่ ทางไปพระนิพพนาน มีอยู่ในพระพุทธศาสนาอย่างเดียว เป็นทางแห่งอริยมรรค ทางไปสู่ความเป็นอริย พระผู้มีพระภาคเจ้าเรียก อริยมรรค มีองค์ 8 มรรค แปลว่าทาง อริยะ แปลว่า ผู้เลิศ ผู้ประเสริฐ ผู้สูงสุด ผู้ไกลจากกิเลส โลกเราที่วุ่นวายทุกวันนี้เพราะขาดพระอรหันต์ อยู่ใกล้กิเลสเกินไป ท่านว่าให้เอาศีลมารักษา ปัญญาเกิด รวมมั่นขึ้นมาเป็นพลัง เป็นจิตที่ตั้งมั่น เจริญศีลสมาธิปัญญาเรียก มรรคสมังคี ครั้งที่ 1 เป็นโสดบัน ครั้งที่ 12 ได้ญาณ 16 เป็นสกทาคามี อริยมรรคเกิดขึ้นครั้งที่ 3 เป็นอนาคามี ครั้งที่ 4 เป็นอรหันต์แล้ว ไม่เป็นทาสกิเลส ในครั้งนี้มาพูดถึงเรื่องทางสายเอก คือทางสุดท้ายทางไปพระนิพพาน ไม่ต้องมาชดใช้เป็นทาสกิเลสอีกต่อไป

พระครูปลัดบัณฑิต อินทเมธี วัดสังข์กระจาย กรุงเทพฯ ท่านให้เราลองมองย้อนไปว่า “เวลาเรานึกถึงพระรัตนตรัยนั้น เราปลื้มใจ สุขใจ สบายใจไหม ถ้ามีข่าวที่พูดถึงพระในทางที่ไม่ดีขึ้นมานั้น เรายังปลื้มใจอยู่ไหมใหม เวลาได้ยินข่าวไม่ดีมา ศรัทธายังมั่นคงในพระรัตนตรัยใหม ถ้าเรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เราจะมั่นคงไม่หวั่นไหว เพราะฉะนั้น ธรรมมะบรรดาลใจ หมายความว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ว่าจะหัวข้อใหน ตั้งแต่ธรรมะระดับพื้นฐาน จนถึงธรรมะขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นธรรมมะระดับไหน ก็ทำให้ใจของเราชุ่มชื่นทั้งนั้น แม้ว่าพระพุทธเจ้าพูดถึงความทุกข์ ใจคนฟังก็ยังชุ่มชื่นในขณะเทศน์ถึงความทุกข์ นี่คืออนุภาคของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำว่า ธรรมมะบรรดาลใจ พระรัตนตรัยบรรดาลจิต ในวันนี้เพื่อต้องการให้ทุกคนมีหัวใจที่ชุ่มชื่น กับพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุดท้ายนี้ให้พวกท่านทั้งหลาย รักษาจิตให้ผ่องใส รักษาใจให้เบิกบาน กันถ้วนหน้าเทอญ”

พระครูวิวิตอรัญธรรม เจ้าอาวาสวัดป่าธรรมวิเวก จ.อุดรธานี “ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังให้ดี. . .คนเรานั้นถ้าเป็นผู้มีตาดี เดินทางออกจากความแก่ ความเจ็บ ความตายได้แล้ว เรียกว่าผู้มีปัญญาแท้ ถือว่าเป็นชาวพุทธเต็มขั้น เพราะมีที่พึ่งทางใจไม่เสื่อมคลาย แต่ถ้าเราไปรักษาศีลให้ทาน เจริญสมถะขนาดใหนก็ตาม กรรมตัวนี้ยังมีโอกาสเปลี่ยนและ ยังมีโอกาสที่จะตกนรกอยู่ อย่างท่านทั้งหลายเป็นชาวพุทธเต็มขั้นในด้านโลกียะ คือ บุคคลผู้ยังเป็นศรัทธาแต่ไม่มั่นคง ยังคลอนแคลนอยู่ อันนี้คือศรัทธาของคนเป็นโลกียะเต็มขั้นจริง แต่ในฝ่ายโลกียะ ถ้าเป็นชาวพุทธในฝ่ายปฏิบัติในด้านโลกุตระ ทั้งหมดนี้ท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าใครบ้างที่เป็นชาวพุทธเต็มขั้น นั่นคือบุคคลที่ได้บรรลุมักผลนิพพานแล้ว ไม่มีการเสื่อม ศรัทธาก็ไม่เสื่อม ศีลก็ไม่เสื่อม สมาธิก็ไม่เสื่อม การที่เรากินแต่ของดีๆก็ไม่ต่างกับการที่รักเขาข้างเดียว เราต้องปรุงแต่งให้มันสารพัดตั้งแต่ตื่นขึ้นจนถึงนอนหลับ เรารับใช้มาจนถึงขนาดนี้มันก็ยังแก่ยังเจ็บยังป่วย เราจะเป็นขี้ข้ารับใช้จนไม่สามารถหนีจากมันได้นั้นมันน่าเจ็บใจ สิ่งสุดท้ายที่ได้กลับมานั่นคือสิ่งปฏิกูล นั่นคือความเป็นจริงที่เรียกว่ารักเขาข้างเดียว รับใช้ตั้งแต่เกิดจนตาย ภพนี้เป็นแบบนี้ ภพหน้าก็ยังเป็นแบบนี้ เราหลงมาตั้งนาน เราแบกความทุกข์มาตั้งนาน เราจะแบกมันไปถึงไหนกัน อันนี้คือความจริงในโลกที่สอนเราแล้วจะรู้ว่าจริงอย่าที่ใครเขาพูดกัน”

ครูบาน้อย ญาณวิไชย วัดถ้ำเชตวัน ต.สันทะ อ.นาน้อย จ.น่าน ได้มอบคำชี้แนะบนเวทีเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ ก่อนที่ท่านจะละสังขารว่า “สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนอยู่บนพื้นฐานของคำว่าธรรม คือ ความเป็นจริง สุขเกิดขึ้นตั้งอยู่ชั่วคราว ประคองมันไว้ก็เป็นทุกข์ สุดท้ายสุขก็ดับไป เราเป็นชาวพุทธเราต้องมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้ได้ อนิจจัง ไม่มีอะไรแน่นอน ทุกขัง ไม่มีอะไรได้ดั่งใจ อนัตตา คือ ไม่มีอะไรสมบูรณ์ สำหรับตัวเรามองว่าทุกอย่างเกิดขึ้น โลกใบนี้แบ่งเป็น 2 อย่างคือ บางสิ่งบางอย่างเกิดมาในโลกใบนี้ไม่ได้เกิดมาให้เราแก้ไขแต่เกิดขึ้นมาให้เรายอมรับได้อยู่ร่วมกับมันให้ได้ ชีวิตจริงคือการยอมรับความจริง แต่ว่าการแก้ไขจะต้องไปใช้ในการดำเนินชีวิตหรือการใช้ชีวิต ปัญหาบางอย่างมีปัญญาแต่แก้ไม่ได้ต้องใช้เวลาในการแก้ เพราะฉะนั้นเราต้องประยุกต์นำ ธรรมะมาใช้กับชีวิตของความเป็นจริง ธรรมะคือความจริงของชีวิต ธรรมะคือกฎตายตัวไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่อยากทุกข์กับการใช้ชีวิตใดๆ ต้องเข้าใจชีวิต ธรรมะที่มันอยู่ในสิ่งนั้นๆ”

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ กล่าวว่า “ยามใดที่ทุกข์ใจ มันล้วนแล้วแต่มีรากเหง้าอยู่ที่ความยึดติดถือมั่น ยึดติดในความสุข แต่พอไม่สุขแล้วก็ทุกข์ เราจะทุกข์เต็มที่เมื่อไปยึดอารมณ์นั้น ไปยึดความเศร้านั้น ก็แปลกที่เราไม่ชอบความทุกข์ แต่พอทุกข์ทีไรก็ไปยึดติดทุกที พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น ให้รู้ทุกข์อย่าเป็นทุกข์ และนี่คือเคล็ดลับว่า เมื่อมันเกิดขึ้นก็ให้มีสติรู้ทัน เพราะรู้แล้วมันก็จะวาง เป็นการปล่อยวางอย่างหนึ่ง หลวงพ่อเสถียร ท่านสอนไว้ว่า “รู้สื่อๆ รู้โดยไม่ผลักใส รู้โดยไม่ไหลตาม” เมื่อรู้อารมณ์แล้วจิตมันปรุงแต่ง ก็ให้รู้ทัน เพราะถ้าเราทำได้ เราก็จะพบกับความสุขได้โดยไม่ยาก”

พระเทพปฏิภาณกวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารกรุงเทพฯ ได้สอนเรื่องธรรมะสมบัติว่า “การทำดีนั้นไม่ง่ายเราต้องฝึกทำอยู่บ่อยๆ เราจึงต้องทำบุญเป็นประจำอยู่บ่อยๆนั้นก็คือ การสวดมนต์และเจริญภาวนา ก่อนเข้านอน หรือตื่นนอนก็ได้ ในทุกๆวันเรามีภารกิจที่ต้องดูใจของตัวเอง ถ้าเราตามดูบ่อยๆ ใจเราจะไม่เกเร ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร ในบางวันเราอาจจะหาสาเหตุที่จิตใจเราวุ่นวายไม่เจอ นั่นเกิดจากการที่เรามีนิวรณ์ครอบงำจิตใจ หรือความพยาบาท ต้องหาทางแก้ไข ไม่อย่างนั้นวันนั้นจะไม่มีความสุข อย่างที่มีคนเคยบอกว่า “ปล่อยให้ยุ่ง แล้วแย่ แก้มันยาก ยิ่งยุ่งมาก ก็ยิ่งแย่ แก้ไม่ไหว ปล่อยให้ยุ่ง รุมนัก จะหนักใจ จงแก้ไข อย่าให้ยุ่ง วุ่นนักหนา” เราต้องแก้ไขด้วยการใส่อารมณ์ใหม่เข้าไป ด้วยการแผ่เมตตา การทำอย่างนี้จะเกิดเป็นสมบัติติดตัว ขอให้เราสร้างธรรมะสมบัติในใจเรา 1.รู้จักยับยั้งชั่งใจ 2.ทำใจให้เย็นเข้าไว้ เมื่อทำอย่างนี้อยู่เสมอเมื่อมีเรื่องมากระทบกระเทือนจิตใจ เราก็จะใจเย็นทันที หากเราทำได้แบบนี้ชีวิตของเราก็จะมีความสุข”

พระศรีสิทธิมุนี เจ้าอาวาสวัดโพธินิมิตรสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ กล่าวถึงมหัศจรรย์แห่งชีวิตว่า “ไม่ต้องคิดไปไกล ความมหัศจรรย์เราสร้างเองได้ด้วยหนึ่งสมองกับสองมือ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในแต่ละยุคอย่างพีระมิด โคลอสเซียม หรือกำแพงเมืองจีน มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่มนุษย์เราสร้างมันขึ้นมา เพราะฉะนั้นสิ่งมหัศจรรย์แห่งชีวิตเราเราต้องสร้างเอง การที่เราเอาธรรมะมาปฏิบัติก็คือสร้างความเป็นมงคล มงคลคือเหตุแห่งความเจริญ อย่างตอนเช้าก็ควรพูดดี ๆ กับคนในครอบครัวแทนการบ่น คือเอาธรรมมะมาไว้ที่กาย ไว้ที่วาจา ไว้ที่ใจ ความเป็นสิริมงคลก็จะเกิดขึ้น ดังนั้นความมหัศจรรย์แห่งชีวิตของเราก็เริ่มขึ้นแล้ว และการรู้จักสมบัติแห่งความเจริญ 6 ประการ อย่าโจมตี อย่านินทา รักษาศีล อย่าเห็นแก่กิน อย่าเห็นแก่นอน สอนใจตัวเอง ถ้าเราทำได้ทั้งหมดนี้แล้ว เราทุกคนทุกท่านก็จะเป็นคนที่สร้างความมหัศจรรย์ในชีวิตได้”

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบสาระดีๆ จากเวที “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ” แบบนี้ สามารถรับฟังสด และย้อนหลังได้ทาง facebook fanpage CAPLL ทุกวันศุกร์ เวลา 12.00-13.30 น. นอกจากนี้ ยังมีคติธรรมดีๆ ฟังง่ายๆ ผ่าน TikTok ที่ ธรรมะTikTok

0 Shares