คลังเก็บหมวดหมู่: สุขภาพ-ความงาม

“สมศักดิ์” เห็นชอบตั้ง “ชาญเชาวน์” อดีตปลัดยุติธรรม จับมือหน่วยงานเกี่ยวข้องปราบบุหรี่ไฟฟ้า กวดขัน “ห้ามพกพา-สูบ” ในสถานที่ราชการ สนามบิน เร่งประสาน “ตำรวจไซเบอร์” ปิด 309 บัญชีขายออนไลน์ มอบ สสส.สื่อสารต่อเนื่อง

“สมศักดิ์” เห็นชอบตั้ง “ชาญเชาวน์” อดีตปลัดยุติธรรม จับมือหน่วยงานเกี่ยวข้องปราบบุหรี่ไฟฟ้า กวดขัน “ห้ามพกพา-สูบ” ในสถานที่ราชการ สนามบิน เร่งประสาน “ตำรวจไซเบอร์” ปิด 309 บัญชีขายออนไลน์ มอบ สสส.สื่อสารต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองประธานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ คนที่ 1 กล่าวภายหลังการประชุมกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 5/2567 ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษารายละเอียดและจัดทำร่างข้อเสนอนโยบายบุหรี่ไฟฟ้า โดยมีนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน มีผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมเป็นคณะทำงาน ทำหน้าที่หนุนเสริมกลไกการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าผิดกฎหมาย ห้ามซื้อขาย นำเข้า ถือครอง และให้บริการอย่างเด็ดขาด โดยมีกฎหมายที่รองรับและควบคุมอย่างน้อย 4 ฉบับ อาทิ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560, พ.ร.บ.ส่งออกและนำเข้า ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี

“บุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายอย่างชัดเจน แต่ยังคงยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน อีกทั้งการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ยังไม่เข้มข้นเพียงพอ ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบให้คณะทำงานฯ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อคุมเข้ม เช่น ห้ามพกพาและสูบบุหรี่บุหรี่ไฟฟ้าในสถานที่ราชการทุกแห่ง, กระทรวงคมนาคม กวดขันพื้นที่โดยสารในสถานีหรือสนามบิน โดยไม่ให้ผู้โดยสารพกพาหรือสูบบุหรี่ไฟฟ้าบนเครื่องบิน, กระทรวงศึกษาธิการ ให้สารวัตรนักเรียนสอดส่องดูแลพื้นที่สถานศึกษา ไม่ให้นักเรียนพกพาหรือสูบบุหรี่ไฟฟ้า และพนักงานรักษาความปลอดภัยกวดขันพัสดุที่ส่งมาให้แก่นักเรียนในสถานศึกษา, กระทรวงมหาดไทย ให้เข้มงวดสถานประกอบการและสถานบริการ ไม่ให้มีผู้พกพาหรือสูบบุหรี่ไฟฟ้า, กระทรวงแรงงาน ที่มีแรงงานขึ้นทะเบียนกว่า 30 ล้านคน เพิ่มมาตรการเข้มงวดไม่ให้พกพาหรือสูบบุหรี่ในสถานประกอบการ, กระทรวงสาธารณสุข ที่มีคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ดำเนินการขับเคลื่อนผ่านกรรมการจังหวัดทุกจังหวัด และรายงานให้กระทรวงทราบทุก 3 เดือน” นายสมศักดิ์ กล่าว

นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นเห็นชอบให้หน่วยงานที่มีอำนาจบังคับใช่กฎหมาย จัดทำบันทึกความร่วมมือบังคับใช้กฎหมายร่วมกัน หรือจัดตั้งคณะทำงานร่วมขับเคลื่อนเฉพาะกิจ นอกจากนั้นเห็นชอบให้ขอความร่วมมือกองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ พิสูจน์ทราบผู้กระทำผิดและเริ่มปราบปรามผู้โฆษณาและค้าขายบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์ โดยเฉพาะผู้ค้าจากระบบเฝ้าระวังที่พบจำนวน 309 บัญชีรายชื่อ กระจายอยู่ใน 23 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผู้ค้ารายใหม่ และให้ สสส.รณรงค์สร้างความเข้าใจบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มข้นต่อไป
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการสสส. กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบการดำเนินงานแผนงานพลังวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยไร้ยาสูบ ที่ทำงานร่วมกับ 23 องค์กรวิชาชีพ และสมาพันธ์จังหวัด 36 แห่ง ในการพัฒนาฐานข้อมูลด้านการควบคุมยาสูบ สำรวจพฤติกรรมทัศนคติและความรู้ด้านการบริโภคยาสูบของนิสิตนักศึกษาวิชาชีพสุขภาพในประเทศไทย การให้บริการคลินิกลอยฟ้า จัดตั้งคลินิกฟ้าใส 563 แห่ง และพัฒนาการให้บริการเลิกยาสูบในคลินิก NCDs โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และชุมชน กว่า 200 แห่ง การพัฒนาระบบบริการสุขภาพร่วมกับสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล ในประเด็นการป้องกัน รักษา และฟื้นฟูภาวะติดนิโคติน นอกจากนี้ ยังมีการขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญในการคงกฎหมายห้ามนำเข้า-ขายบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนไทย
.

0 Shares

ล้างตาด้วยน้ำประปาเสี่ยงเชื้อปรสิตขึ้นตา จริงหรือ?

 

ล้างตาด้วยน้ำประปาเสี่ยงเชื้อปรสิตขึ้นตา จริงหรือ?

ข่าวเชื้อปรสิตในน้ำประปาอาจทำให้หลายคนรู้สึกหวั่นใจอยู่ลึก ๆ ว่าน้ำประปาในบ้านที่เราใช้อยู่ทุกวัน มีความปลอดภัยจริงหรือเปล่า มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตาอักเสบจากปรสิตมากแค่ไหน และอาการตาแดงของเราที่ผ่านมา จริง ๆ แล้วมันคือโรคตาอักเสบจากปรสิตหรือเปล่านะ? โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน ก็ยิ่งมีเชื้อโรคปนเปื้อนมาในน้ำได้ง่ายยิ่งขึ้น แล้วเราจะมีวิธีการดูแลดวงตาให้ปลอดภัยจากเชื้อโรคที่มากับน้ำได้อย่างไร? ซึ่งผู้ที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้ดีที่สุดก็คือจักษุแพทย์ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวโรคตานั่นเอง

พญ.จิรนันท์ ทรัพย์ทวีผลบุญ จักษุแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการโรคต้อหิน โรงพยาบาล(รพ.)วิมุต ได้อธิบายถึงกรณีโรคตาอักเสบจากเชื้อปรสิตที่กำลังเป็นข่าวว่า “โรคนี้เรียกว่ากระจกตาติดเชื้อไมโครสปอริเดีย (Microsporidial Keratitis) เกิดจากการสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อปรสิตกึ่งราไฟลัมไมโครสปอรา เชื้อกลุ่มนี้พบบ่อยในแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด โดยเฉพาะในหน้าฝน โดยผู้ป่วยมักจะได้รับเชื้อจากน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำฝน น้ำโคลน น้ำสำหรับอุปโภคบริโภคที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น ผู้ป่วยที่มีประวัติน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา หรือทีมนักกีฬารักบี้ที่แข่งขันแล้วไปล้มคลุกในแอ่งโคลนแล้วเกิดการติดเชื้อของสมาชิกในทีมพร้อม ๆ กัน เป็นต้น”

ไมโครสปอริเดียจัดเป็นเชื้อฉวยโอกาส มักแสดงอาการติดเชื้อในอวัยวะที่ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่นดวงตา หรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยความรุนแรงของโรคจะขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานและสภาวะของแต่ละบุคคล เพราะแม้จะได้รับเชื้อเหมือน ๆ กัน แต่ละคนก็ยังมีปัจจัยตั้งต้นแตกต่างกันไปทั้งในส่วนสุขภาพดวงตาและภูมิคุ้มกันร่างกาย ในผู้ที่ภูมิคุ้มกันปกติ มักจะติดเชื้อที่ดวงตา ทำให้เกิดการอักเสบของกระจกตาและชั้นผิวตาส่วนนอก โดยอาการมักไม่รุนแรงถึงขั้นทําให้ตาบอดหรือต้องเปลี่ยนถ่ายกระจกตา แต่ถ้าเป็นคนที่ใส่คอนแทคเลนส์และตาแห้งมีแผลกระจกตาหรือเปลือกตาอักเสบเรื้อรัง หรือเคยมีโรคเกี่ยวกับดวงตา เคยผ่าตัดตา ก็อาจจะทําให้การติดเชื้อมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันไม่ปกติ เช่นคนที่มีโรคประจําตัวอย่างเบาหวานเรื้อรังที่คุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิเป็นเวลานาน หากสัมผัสเชื้อก็อาจจะทําให้การติดเชื้อลุกลามไประบบอื่น ๆ ของร่างกาย เช่นระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอุจจาระร่วงเรื้อรัง ถุงน้ำดีหรือท่อน้ำดีอักเสบ จนถึงการติดเชื้อแพร่กระจายหลายระบบในร่างกายได้

กระจกตาอักเสบไมโครสปอริเดีย ไม่ใช่โรคตาแดงจากไวรัส รักษาผิดอาจทำเชื้อลุกลาม

การแยกแยะโรคตาแดงด้วยตนเองนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่ได้รับการตรวจโดยจักษุแพทย์ สำหรับการติดเชื้อปรสิตที่กำลังกล่าวถึงนี้ มักจะเกิดการติดเชื้อหนึ่งข้างได้บ่อยกว่าสองข้างพร้อม ๆ กัน โดยตาที่ติดเชื้อมักจะมีอาการระคายเคือง ตาแดง ตามัว น้ำตาไหล มีขี้ตาออกมากกว่าปกติ ซึ่งอาการอาจจะทับซ้อนกับโรคตาแดงจากเชื้อไวรัสหรือภาวะภูมิแพ้ ทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้ง่าย วิธีสังเกตเบื้องต้นคือโรคตาแดงจากเชื้อไวรัสทั่วไปอาจจะเกิดอาการไล่เลี่ยกับการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ มักมีประวัติสัมผัสโรค และพบการติดเชื้อสองตาพร้อมกันได้บ่อยกว่า เนื่องจากไวรัสมีความสามารถในการแพร่กระจายสูงกว่าเชื้อปรสิต โดยมากโรคตาแดงจากไวรัสมักอาการไม่รุนแรง อาจเกิดการอักเสบที่เยื่อเหนือตาขาวเป็นหลักโดยกระจกตาอาจไม่เกิดแผล ส่วนใหญ่จึงหายได้เองแม้ไม่ได้รับการรักษาจำเพาะ แต่เชื้อปรสิตตัวนี้มักจะเกิดการอักเสบที่กระจกตาโดยตรง ทำให้เกิดตาแดงชนิดที่รอบตาดำมีลักษณะแดงกว่าจุดอื่น (Ciliary Injection) ซึ่งบ่งชี้ถึงการอักเสบในลูกตาหรือกระจกตา ทว่าไม่จำเพาะเจาะจง การอักเสบในดวงตา หรือเชื้ออื่น ๆ ที่ทําให้เกิดการติดเชื้อบนตาดํา ล้วนแต่ทำให้มีอาการคล้ายกันได้ ทำให้คนทั่วไปไม่สามารถแยกแยะโรคนี้ได้ด้วยตนเอง แต่หากได้รับการตรวจวินิจฉัยหน้ากล้องขยาย จะเห็นรอยโรคบนกระจกตาที่มีลักษณะจำเพาะของเชื้อชนิดนี้ ทำให้สามารถวินิจฉัยได้แม้ไม่ส่งตรวจเพิ่มเติม

อีกหนึ่งความเข้าใจผิดคือเชื้อปรสิตไมโครสปอริเดีย ไม่ใช่ “ไรขนตา” เพราะไรขนตา (Demodex) เป็นปรสิตอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นเชื้อประจำถิ่น สามารถพบได้บนใบหน้าและรอบดวงตาอยู่แล้ว โดยปกติมักไม่ก่อโรคและไม่จำเป็นต้องรักษา แต่หากไรขนตามีจำนวนมากจนร่างกายขาดสมดุลก็จะก่อให้เกิดอาการเปลือกตาและผิวหน้าอักเสบแดงได้ สร้างความเดือดร้อนรําคาญและรบกวนการใช้ชีวิตประจําวัน นอกจากนี้แล้วยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อชนิดอื่นเพิ่มเติม เนื่องจากกลไกป้องกันการติดเชื้อบกพร่อง ซึ่งจะแตกต่างจากการติดเชื้อที่ผิวกระจกตาโดยตรงดังที่กล่าวมาข้างต้น

การรักษากระจกตาอักเสบจากเชื้อไมโครสปอริเดีย แพทย์ต้องใช้ยาควบคู่หลายตัว ทั้งแบบรับประทานและแบบหยอด สิ่งสำคัญคือคนไข้ไม่ควรซื้อยากินหรือยาหยอดเอง โรคตาแดงทั่วไปที่เกิดจากเชื้อไวรัสหากการอักเสบเป็นมากสามารถให้สเตียรอยด์เพื่อลดอาการตาแดงได้ แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อปรสิตตัวนี้ หากผู้ป่วยได้รับยาสเตียรอยด์ ตัวโรคจะแย่ลงเนื่องจากยาเสตียรอยด์จะกดการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เชื้อเพิ่มปริมาณทวีคูณในดวงตามากขึ้น อาจเกิดการติดเชื้อเป็นวงกว้างและต้องใช้เวลารักษานานขึ้น และผลการรักษาอาจจะแย่ลง

ห้ามใช้น้ำประปาล้างตา เสี่ยงทั้งปรสิตและสิ่งปนเปื้อน

“การใช้น้ำประปาล้างตามีอันตรายแน่นอน เพราะน้ำประปาไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้กับดวงตาได้ เมื่อล้างหน้าควรหลับตาให้สนิทเพื่อไม่ให้น้ำเข้าตา แม้น้ำประปาที่ได้มาตรฐานจะผ่านการฆ่าเชื้อก่อโรคด้วยคลอรีน แต่คลอรีนเองก็ก่อให้เกิดการอักเสบระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อดวงตา ซ้ำร้ายหากน้ำประปานั้นไม่ได้มาตรฐานเช่นมีค่าคลอรีนต่ำกว่าเกณฑ์ ก็อาจจะมีเชื้อก่อโรคเช่นไมโครสปอริเดีย หรือเชื้อชนิดอื่น ๆ เช่นแบคทีเรียก่อโรคปะปนได้ และอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่กระจกตาดังกล่าว

การใช้น้ำประปาล้างตาอาจทำได้ในกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนเท่านั้น เช่น เมื่อมีสารเคมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงเข้าตา ซึ่งต้องปฐมพยาบาลโดยการรีบล้างออกด้วยน้ำที่สะอาดที่สุดเท่าที่มีในปริมาณมากโดยทันที สำหรับในชีวิตประจำวัน คนทั่วไปไม่จำเป็นต้องล้างตา เว้นแต่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา อาจพิจารณาล้างตาได้โดยเลือกใช้น้ำเกลือสะอาดปราศจากเชื้อหรือน้ำตาเทียม เพราะทั้งสองอย่างนี้ปลอดเชื้อและปลอดภัยที่สุด สามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ขั้นตอนการล้างตาต้องระวังไม่ให้น้ำสัมผัสหรือไหลผ่านเปลือกตา ขนตา หรือผิวหนังรอบดวงตา เพราะอาจได้รับสิ่งสกปรก สารเคมี หรือเชื้อโรคจากบริเวณดังกล่าว ปนเปื้อนกับน้ำเข้าสู่ดวงตา ซึ่งอาจเกิดผลเสียเพิ่มเติม โดยมากจึงไม่แนะนำให้ล้างตาหากไม่จำเป็น การหยอดน้ำตาเทียมเพียงอย่างเดียวก็อาจเพียงพอหากมีอาการระคายเคืองเล็กน้อย ” พญ.จิรนันท์ ทรัพย์ทวีผลบุญ กล่าวเสริม

ภาวะตาแดงแยกด้วยตนเองได้ยาก มีทั้งตาแดงจากการติดเชื้อ และตาแดงจากการอักเสบโดยไม่ติดเชื้อ ปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยคือการจำหน่ายยาอันตรายที่ต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ตามร้านขายยาทั่วไป เช่นยากลุ่มเสตียรอยด์ ซึ่งหากใช้ผิดวิธี ผิดโรค อาจทำให้เกิดการติดเชื้อลุกลาม หรือเกิดต้อหิน ต้อกระจกในระยะยาว ประกอบกับการวินิจฉัยโรคตาเป็นเรื่องมีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนมาก ดังนั้น หากมีอาการผิดปกติโดยไม่ทุเลาหายในเวลาอันสั้น ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำและนำไปสู่การรักษาที่ตรงกับโรคมากที่สุด

ผู้ที่สนใจปรึกษาแพทย์โรงพยาบาลวิมุต สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์จักษุ ชั้น 5 หรือโทรนัดหมาย 02-079-0058 ตั้งแต่เวลา 8.00-20.00 น. หรือใช้บริการ Telemedicine ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ผ่าน ViMUT App คลิก https://bit.ly/372qexX

0 Shares

“หมอรุ่งเรือง” แนะมองรอบด้านก่อนดึงกัญชากลับเป็นยาเสพติด หวั่นองค์ความรู้หยุดชะงัก ทำลายโอกาสคนไทย หลังหลายหน่วยงานเดินหน้าวิจัย – ใช้ประโยชน์จริงจัง

“หมอรุ่งเรือง” แนะมองรอบด้านก่อนดึงกัญชากลับเป็นยาเสพติด หวั่นองค์ความรู้หยุดชะงัก ทำลายโอกาสคนไทย หลังหลายหน่วยงานเดินหน้าวิจัย – ใช้ประโยชน์จริงจัง

นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้ความเห็นนักข่าวที่สอบถามในฐานะเคยทำงานอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข กรณีมีแนวโน้มว่า กัญชาจะกลับไปเป็นยาเสพติดว่า หากเกิดขึ้นจริงก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะในรอบ 5 ปีหลัง หลายๆสถาบัน หลายๆมหาวิทยาลัยได้มีการศึกษาวิจัยนำกัญชามาใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง ปรากฏเป็นผลิตภัณฑ์มากมาย ที่รอการต่อยอดและรับรองมาตรฐานให้สามารถใช้ในวงกว้าง หลายสิ่งหลายอย่าง จะเป็นโอกาสทั้งเศรษฐกิจและในทางการแพทย์เพื่อการดูแลสุขภาพ นี่คือทางเลือกของผู้ป่วย ทั้งนอนไม่หลับ พาร์กินสัน หรือผู้ที่มีอาการเจ็บปวด ด้วยสาเหตุต่างๆ พบประโยชน์มากมาย

หากมีการนำกลับไปเป็นยาเสพติดจริงกระบวนการเหล่านี้ก็อาจจะหยุดชะงัก องค์ความรู้ที่เรามาได้ไกลแล้ว จะสูญเปล่าทันที ไม่มีใครอยากมาต่อยอด โดยเฉพาะกับทางสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัย ที่ปกติก็มีความระมัดระวังสูงอยู่แล้วหากนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดเชื่อได้ว่าจะไม่มีสถาบันไหน กล้ามาพัฒนาในเรื่องนี้อีก เนื่องจากไม่ได้รับความสะดวก ใครก็ตามที่คิดจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดต้องมองตรงส่วนนี้ด้วย อีกทั้งนักลงทุนและเกษตรกรจะได้รับผล
กระทบมากๆ

เรื่องนี้ ต้องดูกันให้รอบด้าน ทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งคุณและโทษกัญชาก็เช่นกันขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกใช้ประโยชน์จากส่วนไหน ตอนนี้หลายประเทศคลายล็อคกัญชากันออกมาใช้ประโยชน์แล้ว บางประเทศมีไทยเป็นโมเดล แล้วประเทศไทยที่เคยเป็นผู้นำเรื่องนี้ กลับเลือกเดินถอยหลังเข้าคลอง ก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้มากๆ

“ จะว่าอย่างไร หากวันนี้ไทยเลือกที่จะทิ้งโอกาส แล้ววันหน้าต้องไปซื้อยากัญชาจากต่างชาติ”

นพ.รุ่งเรืองกล่าวด้วยว่า มองว่าเมื่อปลดล็อคไปแล้วก็ต้องหาทางใช้ประโยชน์อะไรที่เป็นโทษก็ต้องควบคุม นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมในการออกกฎหมายมากำกับดูแลเพราะเราได้มีการลองผิดลองถูกกันมาในระยะหลายปี เรารู้แล้วว่ามีช่องโหว่ตรงไหนและต้องอุดอย่างไร โดยที่ไม่จำเป็นต้องดึงกลับไปเป็นยาเสพติดเลย

0 Shares

โรงพยาบาลวิมุต ร่วมมือกับ แอ็กนอสเฮลท์ นำ AI เพิ่มความสะดวกในการคัดกรองอาการ 24 ชั่วโมง ก่อนการรักษา

โรงพยาบาลวิมุต ร่วมมือกับ แอ็กนอสเฮลท์ นำ AIเพิ่มความสะดวกในการคัดกรองอาการ 24 ชั่วโมง ก่อนการรักษา

โรงพยาบาล(รพ.)วิมุต รพ.ในเครือ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) ได้ร่วมมือกับ แอ็กนอสเฮลท์ (Agnos Health) บริษัทสตาร์ทอัปผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ นำเทคโนโลยี AI คัดกรองอาการ เปิดให้บริการกับกลุ่มลูกค้ารพ.วิมุต และผู้รับบริการบน Line official account ของรพ.วิมุต ได้แก่ ViMUT Telemedicine (@vimuttelemed) และ ViMUT hospital (@vimuthospital) เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการรับบริการ โดยสามารถคัดกรองอาการ เพื่อปรึกษาแพทย์เฉพาะทางออนไลน์ หรือก่อนการนัดหมายแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอาการเจ็บป่วย ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ระบบ AI symptom checker หรือ AI คัดกรองอาการป่วยของ Agnos ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้ง่าย แรกเริ่มได้เปิดให้ใช้งานระบบ AI คัดกรองอาการนี้ บนแอปพลิเคชัน Agnos มานานกว่า 3 ปี มีการใช้งานจริงมากกว่า 2 แสนราย และ ในปัจจุบันได้นำมาพัฒนาให้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบของ Line Official เพื่อให้เข้าถึงผู้ใช้งานทุกกลุ่มเป้าหมายได้สะดวกยิ่งขึ้น โดย AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ผ่านการทดสอบมามากกว่า 1 แสนครั้ง โดยแพทย์ผู้ชำนาญการ 26 สาขาวิชา มีความแม่นยำสูง โดย AI จะทำการคัดกรองอาการป่วยออกมาเป็น 3 ระดับ ได้แก่

สีเขียว (Self-care) อาการไม่รุนแรง สามารถดูแลรักษา บรรเทาอาการด้วยตนเอง หรือปรึกษาแพทย์เฉพาะทางออนไลน์ พร้อมด้วยบริการจัดส่งยาโดยมีเภสัชกรที่คอยให้คำแนะนำ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกเดินทางมาโรงพยาบาล
สีเหลือง (Seek-medical advice) อาการรุนแรงปานกลาง ผู้ป่วยสามารถทำนัดหมายแพทย์ออนไลน์ เพื่อตรวจเพิ่มเติม หรือปรึกษาแพทย์เฉพาะทางออนไลน์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
สีแดง (Emergency care) อาการรุนแรง แนะนำให้ผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์ที่โรงพยาบาลวิมุต
หลังจากใช้งาน AI คัดกรองอาการแล้ว ผู้ป่วยสามารถรับบริการทางการแพทย์จากเจ้าหน้าที่แอดมินบน Line official account ของโรงพยาบาลวิมุต ในขั้นต่อไป ได้อย่างรวดเร็ว โดยเจ้าหน้าที่ไม่ต้องซักถามอาการป่วยใหม่ ลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน และเจ้าหน้าที่จะสามารถให้คำปรึกษาทางการแพทย์ และแนะนำบริการการรักษาหรือช่วยทำนัดหมายแพทย์เฉพาะทางให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างตรงจุด เกิดการสื่อสารที่คล่องตัวกว่าการพิมพ์สนทนาให้คำปรึกษาทั่วไป อีกทั้งยังเปิดให้บริการนี้ได้ ตลอด 24 ชั่วโมง

นพ.ตะวัน จิตต์จุฬานนท์ ผู้อำนวยการรพ.วิมุต กล่าวว่า “การร่วมมือกับแอ็กนอสเฮลท์ เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ รพ. วิมุต ในการเป็นรพ.แห่งนวัตกรรม ในการนำนวัตกรรมทางการแพทย์เข้ามายกระดับการดูแลรักษาคนไข้ทุกรูปแบบ การเข้ามาของระบบคัดกรองในรูปแบบ AI นี้ เป็นตัวช่วยให้ผู้ใช้บริการสะดวกสบายยิ่งขึ้น สามารถช่วยเรื่องของการให้บริการได้ 24 ชั่วโมง โดยเป็นตัวเชื่อมต่อการให้บริการลูกค้าและโรงพยาบาล ในการให้ข้อมูลต่างๆ รวมถึงช่วยคัดกรองอาการเบื้องต้น และแนะนำผู้ใช้บริการได้ว่าควรไปศูนย์ไหน โดยไม่ต้องรอเวลาทำการของเจ้าหน้าที่แอดมิน รวมถึงได้ปรึกษาความกังวลใจเรื่องสุขภาพ และอาการต่างๆ ได้ทุกเวลา ช่วยลดความผิดพลาด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเจ้าหน้าที่ ในการดูแลคนไข้ ช่วงหลังเวลาทำการ อีกทั้งยังช่วยดึงดูดผู้ใช้บริการได้เพิ่มมากขึ้น เป็นการเพิ่มมูลค่าให้การบริการของโรงพยาบาล และยังได้ผลลัพธ์ที่ออกมาเกินความคาดหมาย”

การนำ AI คัดกรองอาการป่วยของ Agnos เข้ามาเชื่อมต่อ และเปิดให้บริการกลุ่มผู้ใช้บริการโรงพยาบาลวิมุต และผู้รับบริการบน Line official account ของโรงพยาบาลวิมุต เป็นการผลักดันให้เทคโนโลยี AI ทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าได้มาช่วยดูแลสุขภาพผู้ป่วยแบบไร้รอยต่อ ให้ตอบโจทย์ความทันสมัยในการให้บริการ เพิ่มความสะดวกในการรักษา อย่างทันท่วงที คาดหวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้รับบริการ”

ดร. ปพนวิช ชัยวัฒโนดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอ็กนอสเฮลท์ กล่าวอีกว่า “การร่วมมือกับรพ.วิมุตครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญที่ Agnos นำเทคโนโลยี AI คัดกรองอาการป่วยของ Agnos เข้ามาเชื่อมต่อ และเปิดให้บริการกลุ่มลูกค้ารพ. นำเทคโนโลยี AI ทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าได้มาช่วยดูแลสุขภาพผู้ป่วยแบบไร้รอยต่อ ตอบโจทย์ความทันสมัยในการให้บริการ เพิ่มความสะดวกในการดูแลคนไข้ ตลอด 24 ชม. นอกจากเทคโนโลยี AI คัดกรองอาการ ยังมีอีกหลายนวัตกรรมที่บริษัทพัฒนาร่วมกับรพ. เพื่อพลิกโฉมการให้บริการคนไข้ทั้งก่อนและหลังเข้าพบแพทย์ ตอบโจทย์ Smart hospital เต็มรูปแบบ”

สามารถทดลองใช้งานได้แล้ว บน Line official account ทั้ง 2 บัญชี ได้ที่
ViMUT Telemedicine (Line ID : @vimuttelemed) และ Vimut hospital (Line ID : @vimuthospital)

0 Shares

รพ.วิมุต จัดโครงการ “วิมุตอาสา ผ่าตัดต้อกระจก” ร่วมกับ “ทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์” และเขตพญาไท

รพ.วิมุต จัดโครงการ “วิมุตอาสา ผ่าตัดต้อกระจก” ร่วมกับ “ทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์” และเขตพญาไท

มอบโอกาสในการมองเห็นให้ 30 ดวงตา คืนโลกที่สดใสให้ผู้ป่วยต้อกระจกให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

โรงพยาบาล(รพ.)วิมุต เดินหน้าสร้างสังคมไทยที่อยู่ดี-มีสุข สอดรับกับนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้จัดโครงการ “วิมุตอาสา ผ่าตัดต้อกระจก” ร่วมกับทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์ และสำนักงานเขตพญาไท มอบการผ่าตัดต้อกระจกจำนวน 30 ดวงตา โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ให้กับชุมชนและประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตพญาไท โดยโรงพยาบาลวิมุต ดำเนินโครงการร่วมกับพันธมิตร แพทย์และพนักงานอาสาสมัครที่มีความเชี่ยวชาญ ดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยตั้งแต่รอบการคัดกรอง การตรวจสุขภาพและรับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนผ่าตัด การเข้าผ่าตัด และการดูแลติดตามอาการหลังกลับบ้านเพื่อการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในทุกขั้นตอน กิจกรรมเพื่อสังคมในครั้งนี้มุ่งมอบโอกาสในการรักษาดวงตาให้แก่คนในชุมชน ให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามองเห็นได้ชัดเจนและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง สะท้อนความตั้งใจของ โรงพยาบาลวิมุตในการดำเนินธุรกิจเฮลท์แคร์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่คนทุกกลุ่มในสังคมอย่างทั่วถึงและยั่งยืน

นพ.สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รพ.วิมุต โฮลดิ้ง จำกัด เล่าถึงที่มาของโครงการว่า “รพ.วิมุต ดำเนินธุรกิจเฮลท์แคร์ภายใต้เป้าหมายในการขับเคลื่อนสังคมไทยสุขภาพดี ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรมที่คืนคุณค่าสู่สังคมอยู่เสมอ เราตระหนักดีว่าปัญหาด้านสายตา โดยเฉพาะโรคต้อกระจก เป็นโรคที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงวัยและส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ ยังพบว่ามีคนในชุมชนจำนวนมาก ยังขาดโอกาสในการเข้าถึงการผ่าตัดต้อกระจก จึงได้ริเริ่มโครงการ “วิมุตอาสา ผ่าตัดต้อกระจก” เพื่อช่วยเหลือผู้ที่เป็นต้อกระจกในชุมชนพญาไท ช่วยให้ดวงตา 30 ดวงกลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้งโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นการผ่าตัดที่คนไข้ไม่ต้องนอนพักที่โรงพยาบาล ทางทีมแพทย์ เจ้าหน้าที่และทีมอาสาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ จะดูแลผู้ป่วยที่ผ่านการคัดกรองตั้งแต่การปรึกษาแพทย์จนถึงการติดตามผลและให้คำแนะนำในการดูแลตนเองหลังผ่าตัดจนครบ 1 เดือน เพื่อความอุ่นใจและความปลอดภัยของผู้ป่วย”

“โครงการวิมุตอาสา ผ่าตัดต้อกระจก” เกิดขึ้นได้เพราะการสนับสนุนจากทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์และความร่วมมือจากสำนักงานเขตพญาไท เรารู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการคืนการมองเห็นที่ชัดเจน ให้คนในชุมชนได้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ซึ่งตอกย้ำพันธกิจของ รพ.วิมุต ในการดูแลให้คนไทยมีสุขภาพแข็งแรงอย่างเท่าเทียม” นายแพทย์ตะวัน จิตต์จุฬานนท์ กล่าว

รพ.วิมุต ยังคงมุ่งมั่นจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงพื้นที่ให้บริการชุมชน เช่น การให้บริการฉีดวัคซีน ตรวจสุขภาพ และการให้ความรู้เรื่องโรคระบาด ในอนาคต โรงพยาบาลวิมุต พร้อมเดินหน้าจับมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนในชุมชนต่าง ๆ ให้เข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึงและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนไทยอย่างยั่งยืน

0 Shares

เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ประเทศไทย เฉลิมฉลอง 10 ปีแห่งความเป็นเลิศด้านสุขภาพ มุ่งชูความสำเร็จครั้งสำคัญ พร้อมตอกย้ำจุดยืนในฐานะผู้นำด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม

เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ประเทศไทย เฉลิมฉลอง 10 ปีแห่งความเป็นเลิศด้านสุขภาพ
มุ่งชูความสำเร็จครั้งสำคัญ พร้อมตอกย้ำจุดยืนในฐานะผู้นำด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม

เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ประเทศไทย เฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีอย่างภาคภูมิใจ ครบรอบทศวรรษแห่งการปฏิวัติวงการฟิตเนสและสุขภาพในประเทศไทย ในฐานะส่วนหนึ่งของ เวอร์จิ้น กรุ๊ป เครือบริษัทระดับโลกซึ่งก่อตั้งโดยเซอร์ริชาร์ด แบรนสัน เวอร์จิ้น แอ็คทีฟได้เติบโตขึ้นจากการเปิดคลับแห่งแรกในสหราชอาณาจักรในปี 2542 พร้อมก้าวขึ้นแท่นผู้ให้บริการคลับสุขภาพชั้นนำระดับนานาชาติ ด้วยจำนวนสมาชิกมากกว่า 1.4 ล้านคนใน 238 คลับจาก 8 ประเทศทั่วโลก โดยเวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ยังคงมีความมุ่งมั่นในการสร้างมาตรฐานในอุตสาหกรรมฟิตเนสและสุขภาพอย่างต่อเนื่อง


การเดินทางของเวอร์จิ้น แอ็คทีฟในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นเมื่อทศวรรษที่แล้ว และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทางคลับก็ได้บรรลุเป้าหมายสำคัญเช่นการขยายสาขาจำนวนกว่า 8 สาขาทั่วประเทศพร้อมกับคลาสออกกำลังกายเกือบ 60,000 คลาสต่อปีซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีแบบองค์รวมให้กับคนไทย จูเลียน เบรา ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของ เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ กล่าวเนื่องในโอกาสสำคัญนี้ว่า “ในฐานะตัวแทนจาก เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีในประเทศไทย ความสำเร็จของเราครั้งนี้คือเครื่องพิสูจน์ถึงบุคลากรที่มีคุณภาพของเราและการสนับสนุนอย่างแน่วแน่ของสมาชิกของเรา ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะเติบโตและขยายธุรกิจของเรา พร้อมผลักดันการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีแบบองค์รวมในตลาดที่น่าตื่นเต้นอย่างประเทศไทยต่อไปในอนาคตข้างหน้านี้”

เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ จึงได้จัดงานพิเศษขึ้นที่คลับใจกลางเมือง เวอร์จิ้น แอคทีฟ สาขาเอ็มควอเทียร์ นำโดยคุณจูเลียน เบรา พร้อมด้วยนางแบบ-นักแสดงชื่อดัง แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์ เหล่าพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ และสื่อมวลชน ซึ่งเข้าร่วมงานดังกล่าวเพื่อตอกย้ำถึงการพัฒนาของแบรนด์และความมุ่งมั่นในการผลักดันการดูแลสุขภาพองค์รวมแบบครบวงจร


เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ – แบรนด์สุขภาพแบบองค์รวม
เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ไม่ใช่เพียงแค่สถานที่ออกกำลังกายเท่านั้น แต่ทางคลับมีความตั้งใจที่จะวางตำแหน่งเป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพแบบครบวงจร ในฐานะแบรนด์สุขภาพระดับพรีเมียมชั้นนำของโลก เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของสมาชิก โดยแนวทางแบบองค์รวมของแบรนด์ผสมผสานความเชี่ยวชาญที่ล้ำสมัยเข้ากับการมุ่งเน้น การฟื้นฟูร่างกาย การผ่อนคลาย และการสร้างสังคมสำหรับคนรักสุขภาพ
“เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ มุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ด้านสุขภาพแบบองค์รวมให้กับสมาชิกของเรา” จูเลียน เบรา กล่าวเสริม “เรามีคลาสออกกำลังกายระดับพรีเมียมและเฉพาะทางที่หลากหลายรวมถึงอุปกรณ์ล้ำสมัยที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งนี้ การนำเสนอโซลูชันและคลาสการออกกำลังกายที่ล้ำสมัยมากมาย โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนอกเหนือจากค่าธรรมเนียมสมาชิก ส่งผลให้มีการเติบโตอย่างมั่นคงในฐานสมาชิก พร้อมตอกย้ำสถานะของเราในฐานะผู้นำตลาดด้านสุขภาพแบบองค์รวมระดับพรีเมี่ยมในประเทศไทย”

ภาวะการแข่งขันของตลาดฟิตเนสและสุขภาพในประเทศไทย
ภูมิทัศน์ด้านฟิตเนสในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จากสถิติล่าสุด อุตสาหกรรมฟิตเนสในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโต 8-10% ต่อปี การเติบโตนี้ได้รับแรงผลักดันจากความตระหนักรู้ด้านสุขภาพ รายได้ที่จับจ่ายได้ และชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น

แม้จะมีสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ยังสามารถคงความโดดเด่นผ่านข้อเสนอระดับพรีเมี่ยมและประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับสมาชิกได้อย่างสม่ำเสมอ “ตลาดฟิตเนสของประเทศไทยเป็นตลาดน่าตื่นเต้นและมีการแข่งขันสูง โดยมีผู้เล่นทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นของเราในด้านคุณภาพ นวัตกรรม และแนวคิดเสริมสร้างสุขภาพที่ดีแบบองค์รวมทำให้เราโดดเด่นและสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง” จูเลียน เบรา กล่าวปิดท้าย


ร่วมเฉลิมฉลองกับโปรโมชันพิเศษ
เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ประเทศไทย ขอเชิญทุกท่านมาสัมผัสกับสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลก ด้วยข้อเสนอพิเศษสำหรับสมาชิกใหม่ ทดลองใช้บริการฟรี 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ถึง 20 ก.ค. สามารถเข้าชมและใช้บริการที่คลับ เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ สาขาใดก็ได้ในประเทศไทย เพื่อสัมผัสกับบริการพรีเมียมและความเป็นชุมชนที่ทำให้ เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ แตกต่างจากที่อื่น

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ประเทศไทย ได้ที่ www.virginactive.co.th เฟสบุ๊ค @VirginActiveThailand อินสตาแกรม @VirginActiveThailand ติ๊กต๊อก @VirginActiveTH และ LINE @virginactiveth

0 Shares

ชวน“พลังหญิง” ก้าวผ่านทุก “ความแพ้” ฉลองความสำเร็จ Slim Concept ปีที่16 และ Mariza Wellness Clinic ปีที่9 ตอกย้ำความแข็งแรง มั่นใจ จากภายในสู่ภายนอก

ชวน“พลังหญิง” ก้าวผ่านทุก “ความแพ้” ฉลองความสำเร็จ Slim Concept ปีที่16 และ Mariza Wellness Clinic ปีที่9 ตอกย้ำความแข็งแรง มั่นใจ จากภายในสู่ภายนอก

บริษัท สลิม เวลเนส เอเซีย จำกัด บริษัทด้านสุขภาพและความงามอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย บริหารงานโดย คุณปุณณภา เตชะโรจน์กุล ประธานกรรมการบริหาร จัดงาน “16th Slim Concept และ 9th Mariza Wellness Clinic สวยสั่งได้ที่นี่ที่เดียว” มาพร้อมธีมสุดสตรอง “ผู้หญิงไม่แพ้” ชวนสาว ๆ ก้าวผ่านทุกความแพ้ สวยสั่งได้ แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก เพื่อเฉลิมฉลองการก้าวเข้าสู่ปีที่ 16 ของ Slim Concept และปีที่ 9 ของ Mariza Wellness Clinic สถาบันความงามที่ให้บริการด้านการดูแลรูปร่างและสุขภาพ สร้างความสวยผ่านใบหน้า รูปร่าง ควบคู่ไปกับสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอก โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Slim Concept และ Mariza Wellness Clinic มุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพ นวัตกรรม เทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานระดับสากล รวมถึงการบริการทั้งทางด้านความปลอดภัยและการเห็นผลจริง เพื่อสร้างมิติใหม่แห่งวงการสุขภาพและความงามให้กับประเทศไทย ภายในงานได้รับเกียรติจากเหล่าคนดังตัวแทนของผู้หญิงสายสตรอง ไม่ว่าจะเป็น มิ้นต์-ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง, ตู่-ปิยวดี มาลีนนท์, ฮาน่า-ทัศนาวลัย จักรพงษ์ และ วิกกี้-สุนิสา เจทท์ มาร่วมพูดคุยบนเวที

พร้อมด้วย คุณฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และแขกผู้มีเกียรติร่วมงานคับคั่ง ที่ลาน BEACON 2 ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อเร็วๆนี้

คุณปุณณภา เตชะโรจน์กุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สลิม เวลเนส เอเซีย จำกัด “ในปี 2024 ปีแห่งสุขภาพและความงามที่พฤติกรรมและการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงทัศนคติด้านสุขภาพที่ผู้คนเริ่มหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ทำให้เทรนด์สุขภาพและความงามมาแรงติดชาร์จอันดับต้น ๆ ของเทรนด์โลก เน้นความสวยจากภายในสู่ภายนอก ต้องการมีผิวพรรณที่ดูสวยสุขภาพดี และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาความงามเฉพาะจุด ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ ปลอดภัยและเชื่อถือได้กันมากขึ้น ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับเป้าหมายและวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ อย่างมาก เรามุ่งเน้นการให้บริการด้านสุขภาพและความงามครบวงจร ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีมาช่วยในการดูแลสุขภาพและผิวพรรณ รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติออร์แกนิก 99.99% รวมถึงการจัดโปรแกรมดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี”

สำหรับการเดินทางสร้างความสวยแบบสั่งได้ให้กับลูกค้ามาอย่างยาวนานของสองแบรนด์คุณภาพอย่าง Slim Concept และ Mariza Wellness Clinic คุณปุณณภา กล่าวว่า “ในปีนี้ถือเป็นปีที่ 16 ของ Slim Concept ซึ่งเรามาในคอนเซปต์ “New Change | New Shape | New Looks | New Life” สวยสั่งได้ที่นี่ที่เดียว และ Mariza Wellness Clinic ที่เปิดให้บริการมาแล้วกว่า 9 ปี เน้นให้บริการด้าน Wellness สร้างความสวยควบคู่ไปกับสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอก เพรียบพร้อมไปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยระดับโลก ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่ปลอดภัย การบริการจากบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและมีใจรักบริการ พร้อมดูแลลูกค้าในทุกปัญหาและความกังวลด้านความงาม รูปร่าง และสุขภาพ มาพร้อมกับคอนเซปต์ของปีนี้ Be Beauty | Be Wellness | Be Strong | Believe ซึ่งนอกจากเรื่องการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องแล้ว การบริการ ถือเป็นสิ่งที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเชื่อว่าการบริการที่จริงใจ ใส่ใจ รวมถึงการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ตลอดจนการบริการที่ปลอดภัย และเห็นผลจริง เป็นหนึ่งเหตุผลหลักที่ทำให้ สลิม เวลเนส เอเซีย ครองใจลูกค้ามากว่า 16 ปี และเรามุ่งหวังจะเติบโตควบคู่กับการพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์ การบริการ บุคลากร เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างมีคุณภาพในปีที่ 16 นี้ และปีต่อ ๆ ไป”

“ล่าสุดได้ขยายธุรกิจด้าน Wellness ที่จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นศูนย์ความงามที่ใหญ่ที่สุดบนเนื้อที่กว่า 600 ตารางเมตร สำหรับดูแลสุขภาพแบบองค์รวมครบวงจรด้านสปาและความงาม เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากหลากหลายเชื้อชาติ อีกทั้งยังเป็นการตอบสนองต่อนโยบายของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอีกด้วย นอกจากนี้เรายังมีแผนลุยตลาดออนไลน์อย่างเต็มตัวในทุกช่องทาง โดยเฉพาะใน TikTok ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีกลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก พร้อมด้วยการทำการตลาดทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์ในตำนาน และผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ทางบริษัทฯ ได้วิจัยคิดค้นมาเป็นอย่างดี ทั้งนี้เรายังมีเป้าหมายใหญ่ที่มุ่งไปสู่การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงเป้าหมายหลักในปีที่ 16 ของสลิม เวลเนส เอเซีย คือการบุกตลาดต่างประเทศ ขยายผลิตภัณฑ์และบริการส่งออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นการพัฒนาก้าวที่สำคัญอย่างยิ่งของบริษัท เพื่อทำให้บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายการเพิ่มกำไร และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในที่สุด” คุณปุณณภากล่าว

ภายในงานได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่อง “ผู้หญิงไม่แพ้” ซึ่งต่อยอดมาจากแคมเปญ “ผู้หญิงขี้แพ้” ที่ Mariza Wellness เคยจัดมาก่อนหน้านี้ โดยเชิญดาราสาวสายสตรอง ได้แก่ มิ้นต์-ชาลิดา, ตู่-ปิยวดี, ฮาน่า-ทัศนาวลัย และ วิกกี้-สุนิสา มาร่วมพูดคุยแชร์ประสบการณ์ความแพ้ และตัวช่วยสำคัญอย่าง Mariza Wellness Clinic ที่สามารถจัดการกับทุกความแพ้ได้ ช่วยดูแลทุกท่านให้แข็งแรงตั้งแต่ภายใน ส่งผลไปสู่การไม่แพ้ภายนอก นอกจากนี้ยังคัดสรรแต่สิ่งที่ดีที่สุดมาให้กับลูกค้าเสมอ ทั้งการบริการที่หลากหลายและได้มาตรฐานด้วยใจที่แข็งแรง รวมถึงการดูแลจากภายในและภายนอก เพราะ Mariza Wellness Clinic เชื่อว่าไม่มีคำว่าแพ้สำหรับคนที่แข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ ถ้าภายในแข็งแรง จะไม่มีคำว่า “แพ้” อย่างแน่นอน

0 Shares

รพ.วิมุต จับเทรนด์โรคฮิตมนุษย์ออฟฟิศ รู้ทันภัยเงียบ ลุยเปิด 4 คลินิกเฉพาะทาง เจาะตลาดการดูแลสุขภาพของคนวัยทำงาน

รพ.วิมุต จับเทรนด์โรคฮิตมนุษย์ออฟฟิศ รู้ทันภัยเงียบ ลุยเปิด 4 คลินิกเฉพาะทาง
เจาะตลาดการดูแลสุขภาพของคนวัยทำงาน

เผยคนไทยมีชั่วโมงทำงานเกินค่าเฉลี่ยโลก! แพทย์ชี้โหมงานหนักเสี่ยงหลายโรคอันตราย-แนะปรับด่วนก่อนป่วยหนักไม่คุ้มเหนื่อย

บริษัท โรงพยาบาล(รพ.)วิมุต จำกัด รพ.เอกชนชั้นนำใจกลางกรุงเทพฯ เดินหน้าลุยกลยุทธ์การมอบบริการทางการแพทย์ที่ไร้รอยต่ออย่างเต็มรูปแบบ เปิด 4 คลินิกเฉพาะทาง รองรับ 4 กลุ่มโรคยอดฮิตในกลุ่มวัยทำงาน และรู้เท่าทันภัยเงียบ ได้แก่ คลินิกปวดศีรษะ, คลินิกกรดไหลย้อนและท้องผูก, คลินิกหัวใจเต้นผิดจังหวะ และคลินิกโรคจมูกและไซนัส เจาะตลาดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของคนวัยทำงาน กลุ่มประชากรที่เป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ผู้แบกรับทั้งภาระหน้าที่และความกดดันรอบด้าน จนเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังมากมายทั้งจากไลฟ์สไตล์ไร้บาลานซ์และความเครียดสะสม รวมถึงพร้อมรับมือภัยเงียบที่มาแบบไม่ทันรู้ตัวซึ่งอาจเสี่ยงต่อโรคร้ายจนอันตรายถึงชีวิต รพ. วิมุต เชื่อมั่น 4 คลินิกเปิดใหม่ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการหันมาดูแลตนเองก่อนป่วยหนัก พร้อมมอบเฮลท์แคร์มาตรฐานระดับสากลที่ครอบคลุมการป้องกัน-รักษา-ฟื้นฟู ภายใต้การดูแลที่ใส่ใจของแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทาง เร่งสานต่อวิสัยทัศน์ในการสร้างเฮลตี้ไลฟ์สไตล์ให้คนทุกช่วงวัยเพื่อมุ่งสู่สังคมไทยสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

ในปี 2566 สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เผยว่าประเทศไทยมีประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15 ปีขึ้นไป) ทั้งสิ้น 58.92 ล้านคน และจากผลสำรวจของสถาบันวิจัยจีเอฟเค ยังพบว่าคนไทยมีชั่วโมงการทำงานสูงถึงสัปดาห์ละ 50.9 ชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่สัปดาห์ละ 40-44 ชั่วโมง โดยตัวเลขชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเกินค่าเฉลี่ยของคนไทยสะท้อนถึงความเสี่ยงในการล้มป่วยของด้วยโรคฮิตคนวัยทำงานหลายโรค ที่ล้วนมีปัจจัยจากไลฟ์สไตล์ที่ไม่สมดุล การพักผ่อนน้อย-ออกกำลังกายไม่เพียงพอ การรับประทานอาหารไม่เหมาะสม ความเครียด ฝุ่นและมลภาวะ รวมถึงการนั่งจ้องหน้าจอเป็นเวลานานติดต่อกัน

นพ.สมบูรณ์ ทศบวร ผู้อำนวยการรพ.วิมุต กล่าวว่า “รพ. วิมุต เล็งเห็นว่าปัญหาสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจเป็นอันดับต้นๆ ของคนทุกเพศทุกวัย และโดยเฉพาะในประชากรวัยทำงานที่ได้กลายเป็นความท้าทายของหลายประเทศทั่วโลก เพราะช่วงวัยดังกล่าวถือเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนประเทศ คนเหล่านี้ทุ่มเทแรงกายและแรงใจเพื่อทำงานหาเลี้ยงตนเองและครอบครัว ทำให้ไม่มีเวลาดูแลสุขภาพ ละเลยสัญญาณที่ร่างกายแสดงออกมา บ่อยครั้งกว่าจะรู้ตัวก็ป่วยหนัก ในฐานะผู้ให้บริการเฮลท์แคร์แบบองค์รวมที่ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพยุคใหม่อยู่เสมอ รพ. วิมุต มุ่งมั่นมอบการดูแลสุขภาพที่เข้าใจของคนทุกวัยจึงได้เปิด 4 คลินิกเฉพาะทาง ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการ ได้แก่ คลินิกปวดศีรษะ, คลินิกกรดไหลย้อนและท้องผูก, คลินิกหัวใจเต้นผิดจังหวะ และคลินิกโรคจมูกและไซนัส เพิ่มศักยภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคยอดฮิต และผู้ป่วยที่มีอาการจากโรคที่เป็นภัยเงียบ อาทิ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคกรดไหลย้อน โรคไมเกรน โรคไซนัสอักเสบ และโรคภูมิแพ้ ทุกการรักษาอยู่บนพื้นฐานด้านความปลอดภัยในระดับสากล ส่งมอบบริการทางการแพทย์ที่ไร้รอยต่อแบบครอบคลุม ด้วยจุดแข็งด้านการดูแลรักษาผู้ป่วยตั้งแต่ป้องกัน-รักษา-ฟื้นฟู ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการยุคใหม่โดยผสานความรู้ของทีมงานในทุกศูนย์เฉพาะทางที่ทำงานร่วมกันเพื่อส่งต่อและติดตามการรักษาตั้งแต่ต้นจนจบได้อย่างราบรื่น พร้อมรักษาเจาะลึกอาการและโรคด้วยความเชี่ยวชาญจากแพทย์เฉพาะทางที่มีความพร้อมในการรักษา โดยมีนวัตกรรมและเครื่องมือที่ทันสมัย เจาะลึกถึงสาเหตุต้นตอของโรค ทำให้ผู้ใช้บริการทุกคนมั่นใจและอบอุ่นใจได้”

ภายในงานเปิดตัว 4 คลินิกเฉพาะทาง แพทย์ผู้ชำนาญการได้ร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยงของโรค ตลอดจนสัญญาณเตือนของร่างกายที่ไม่ควรละเลยก่อนป่วยหนัก

นพ.กฤตวิทย์ รุ่งแจ้ง อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการด้านสมองและระบบประสาท เผยสถิติโรคปวดศีรษะ ว่า “ผลสำรวจองค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ว่าความชุกของโรคปวดศีรษะมีมากถึง 40% หมายความว่า ประชากรโลกราว 7 พันล้านคน มีคนปวดศีรษะถึง 3.1 พันล้านคน นอกจากนี้ ในจำนวนดังกล่าว เป็นโรคโมเกรนประมาณ 1 พันล้านคน โดย 15% ของผู้ปวดศีรษะรายงานว่าเป็นการปวดศีรษะรุนแรง ซึ่งอาจมีสาเหตุจากการอักเสบติดเชื้อ เนื้องอกในสมอง หรือมีเลือดออกในสมอง และสามารถนำไปสู่การเสียชีวิตหรือพิการได้หากไม่รีบพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัย สำหรับกลุ่มคนวัยทำงาน ต้องเน้นย้ำว่าแม้สาเหตุส่วนใหญ่ของการปวดหัวจะมาจากความเครียดการพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่ก็ยังมีปัจจัยกระตุ้นอีกมากมายที่ทำให้ปวดศีรษะ ไม่อยากให้ทำงานหนักจนละเลยสัญญาณเตือนของร่างกาย หากมีอาการปวดหัวเรื้อรังหรือปวดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะเมื่อปวดมากผิดปกติ ควรไปพบแพทย์ทันที รวมถึงหากมีอาการร่วม อาทิ ชา แขนขาอ่อนแรง คลื่นไส้ ภาพเบลอ หน้าเบี้ยว หมดสติ ควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุด และที่สำคัญไม่ควรซื้อยามารับประทานเองเด็ดขาด”

นพ.กุลเทพ รัตนโกวิท อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหาร เล่าถึงสาเหตุของโรคกรดไหลย้อนและท้องผูกในกลุ่มคนทำงานว่า “โรคกรดไหลย้อนพบบ่อยมากในกลุ่มวัยทำงาน เพราะไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบทำให้กินอาหารไม่เป็นเวลา เคี้ยวไม่ละเอียด ความเครียดสะสม การกินของมันของทอด น้ำอัดลม รวมถึงแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ ก็ล้วนมีปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนทั้งสิ้น ในไทยผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของคนยุคนี้ โดยอาการที่เข้าข่ายกรดไหลย้อน รวมถึงแสบยอดอก กลืนลำบาก ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย หรือการขับถ่ายที่ไม่ปกติ เมื่อพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ก่อนเกิดอาการแทรกซ้อนจนอาจอันตรายถึงชีวิตได้ สำหรับท้องผูกเป็นอาการที่พบบ่อยในคนไทยเช่นกัน จากการเร่งรีบ ไม่เข้าห้องน้ำ เข้าไม่เป็นเวลา หรือ ข้ามการขับถ่ายไป โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 20 – 40 ปี พบว่าเป็นโรคท้องผูกถึงร้อยละ 57 และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากปัจจัยเรื่องการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำน้อย , การผ่าตัด อุบัติเหตุ หรือความเจ็บป่วยอื่นๆ รวมถึงภาวะเครียดก็ส่งผลต่อการขับถ่ายด้วย สิ่งที่น่ากังวลคือคนส่วนใหญ่มักคิดว่าเป็นเรื่องปกติและปล่อยทิ้งไว้จนอาการเรื้อรังและส่งผลต่อการใช้ชีวิต ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจส่งผลต่อความเสี่ยงถึงชีวิต ซึ่งจริง ๆ แล้วทั้งสองโรคนี้สามารถดีขึ้นได้ด้วยความตั้งใจของผู้ป่วยในการหันมาปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์อย่างจริงจัง เพราะนอกจากจะหายจากโรคแล้วยังทำให้ไม่กลับไปเป็นซ้ำอีกด้วย”

นพ.ศรัณย์พงศ์ ภิบาลญาติ อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคหัวใจ เผยว่าโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นภัยเงียบจากความเครียดที่ไม่ควรละเลย “โรคหัวใจเป็นอีกหนึ่งโรคยอดฮิตคู่วัยทำงาน เพราะการหักโหมทำงานจนเครียด พักผ่อนน้อย บวกกับการกินอาหารที่มีไขมันสูง-รสจัด ไม่ได้ออกกำลังกาย จึงทำให้ปัจจุบันคนเป็นโรคหัวใจได้ง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อน โดยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นภาวะที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะตามธรรมชาติ จนส่งผลให้การบีบกล้ามเนื้อหัวใจ 2 ห้องบนไม่สัมพันธ์กัน โดยโรคนี้ถือเป็นภัยเงียบ เพราะร้อยละ 15 – 46 ของผู้ป่วยไม่มีอาการปรากฏ ส่วนสัญญาณเตือนที่พบบ่อย ได้แก่ อาการใจสั่น อ่อนเพลีย หายใจติดขัด และแน่นหน้าอก หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษา หลายคนยังเข้าใจผิดว่าโรคนี้ไม่ร้ายแรง ทว่าหากเกิดอาการร่วมหรือปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ ก็อาจเสี่ยงเสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลว เกิดเป็นลมหมดสติไป อาจหมดสติขณะขับรถ หรือขณะข้ามถนน เกิดลิ่มเลือดไปอุดตันสมอง สำหรับวิธีรักษาหัวใจให้แข็งแรง คือการหลีกเลี่ยงความเครียด เพราะเมื่อเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนและสารสื่อประสาทหลายประเภทไปกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะได้ นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและโอเมก้า 3 รวมถึงผัก-ผลไม้ และธัญพืช ลดอาหารไขมันสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ แอลกอฮอล์ และการบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่สูงเกินไป เพราะเป็นการกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วขึ้น”

ผศ.พญ.กวินญรัตน์ จิตรอรุณฑ์ แพทย์เฉพาะทางสาขา นาสิกวิทยาและภูมิแพ้ อธิบายถึงสาเหตุที่คนส่วนใหญ่มักเป็นไซนัสอักเสบแบบเป็น ๆ หาย ๆ

“โรคไซนัสอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา โรคภูมิแพ้ มลภาวะทางอากาศ และความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน มีทั้งไซนัสอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง เป็นโรคที่พบบ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงที่มีอากาศชื้นอย่างหน้าฝนแบบนี้ แต่ที่กลุ่มคนวัยทำงาน เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ เพราะมีพฤติกรรมบางอย่างที่กระตุ้นให้เกิดการบวมของเยื่อบุโพรงจมูก เช่น การอยู่ในที่อากาศเย็นหรือแห้งเป็นเวลานาน ๆ รวมไปถึงการเปลี่ยนอุณหภูมิฉับพลัน เพราะวัยทำงานส่วนใหญ่มักนั่งทำงานในห้องแอร์เป็นเวลานาน และเปลี่ยนอุณหภูมิอย่างรวดเร็วเมื่อต้องออกไปข้างนอก ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มคนวัยทำงานยังพักผ่อนน้อย ขาดการออกกำลังกาย โดยเฉพาะในรายที่เป็นหวัดแล้วไม่พักผ่อนอย่างเพียงพอ ทำให้เยื่อบุภายในช่องจมูกและไซนัสบวม ทั้งยังไม่สามารถหาเวลาพักผ่อนให้หายดี ทำให้หลายคนมีอาการต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจนกลายเป็นเรื้อรังได้ นอกจากนี้ คนทำงานในเมืองใหญ่ที่มี PM 2.5 เยอะ ๆ ก็จะทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจอ่อนแอ อักเสบง่าย และกระตุ้นปฏิกิริยาภูมิแพ้ให้รุนแรงขึ้นด้วย เพิ่มโอกาสในการป่วยเป็นไซนัสอักเสบมากขึ้นไปอีก สำหรับคนที่มีอาการปวดบริเวณใบหน้า ได้กลิ่นผิดปกติจากภายในจมูก น้ำมูกลงคอและน้ำมูกเขียวร่วมด้วย ควรมาพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจรักษาอย่างถูกต้อง”

แพทย์ผู้ชำนาญการรพ.วิมุต ได้ทิ้งท้ายถึงการหมั่นตรวจสุขภาพอย่างละเอียดทุกปีเพื่อรู้เท่าทันภัยเงียบที่อาจยังไม่แสดงอาการ และหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างจริงจังเพื่อสร้างเฮลตี้ไลฟ์สไตล์และห่างไกลโรคร้ายอย่างยั่งยืน พร้อมมอบแนวทาง 4 ข้อเพื่อสร้างสุขภาพดี ๆ ด้วยตนเอง ได้แก่ 1. อาหาร: รับประทานอาหารดีมีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ ลดอาหารไขมันสูง น้ำตาลสูง และอาหารรสจัด 2. อารมณ์ หาวิธีจัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม เมื่อมีอาการเหนื่อยล้าและหมดแรงให้หาเวลาพักจากสิ่งที่ทำอยู่และฝึกการหายใจลึก ๆ เพื่อผ่อนคลาย 2-3 นาที 3. ออกกำลังกาย การนั่งอยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ เสี่ยงหลายโรคอันตราย เช่น โรคอ้วน คอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด หันมาลุกขึ้นยืนและเดินไปรอบ ๆ พื้นที่ทำงานทุก 30 นาที รวมถึงหาเวลาไปออกกำลังกายก่อนหรือหลังเลิกงาน 4. นอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับคือการรีชาร์จร่างกายและสมองอย่างดีที่สุดเพื่อให้พร้อมใช้ชีวิตและรับมือกับงานตรงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ติดตามข่าวสารจากรพ.วิมุต ได้ที่เว็บไซต์ www.vimut.com และโซเชียลมีเดียบน Facebook: www.facebook.com/vimuthospital และ Instagram @vimut_hospital สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อรพ.ได้ที่ โทร. 02-079-0000

0 Shares

ฟิลิปส์ เปิดตัว Philips Zenition Series ตัวช่วยแพทย์ศัลยกรรม ตอกย้ำผู้นำอันดับ 1 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Mobile C-Arm

ฟิลิปส์ เปิดตัว Philips Zenition Series ตัวช่วยแพทย์ศัลยกรรม
ตอกย้ำผู้นำอันดับ 1 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Mobile C-Arm

บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพระดับโลก เปิดตัว Philips Zenition Series (ฟิลิปส์ เซนนิชั่น ซีรี่ย์) เครื่องเอกซเรย์ฟลูโอโรสโคปเคลื่อนที่แบบซีอาร์ม (Mobile C-arm) 5 รุ่นล่าสุด ได้แก่ Philips Zenition 90 Motorized, Philips Zenition 70, Philips Zenition 50, Philips Zenition 30 และ Philips Zenition 10 เสริมทัพพอร์ทโฟลิโอในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Philips Image Guided Therapy ชูจุดเด่นให้ภาพคมชัด ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ทางการแพทย์ด้านศัลยกรรมที่หลากหลาย


นายวิโรจน์ วิทยาเวโรจน์ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฟิลิปส์ เรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอนวัตกรรมอันทรงคุณค่า เพื่อมาช่วยสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วย โดยในครั้งนี้ เราได้นำเสนอเครื่อง Mobile C-arm ในตระกูล Zenition ถึง 5 รุ่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายด้านการศัลยกรรม ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดทางหัวใจ, หลอดเลือด, ระบบประสาท, กระดูกและข้อ และการผ่าตัดอื่นๆ โดยเฉพาะรุ่น Philips Zenition 90 Motorized ที่เป็นตัวชูโรง ถูกออกแบบมาสำหรับการตรวจวินิจฉัยด้านหลอดเลือดที่ซับซ้อนได้ดี ในขณะที่ Philips Zenition 10 หรือ 30 จะมาพร้อมจุดเด่นด้านความทนทาน ความคุ้มค่า และความสะดวกในการ

เคลื่อนย้ายเครื่อง ซึ่งการนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ได้หลากหลายของตระกูล Zenition นี้จะช่วยให้ฟิลิปส์สามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดอันดับ 1 ในกลุ่มเครื่อง Mobile C-arm ไว้ได้”

Philips Zenition 90 Motorized เป็นเครื่องเอกซเรย์ฟลูโอโรสโคปเคลื่อนที่แบบซีอาร์มที่ขับเคลื่อนด้วยพลังมอเตอร์ โดดเด่นด้านการทำงานได้อย่างรวดเร็ว ถูกออกแบบมาใหม่ล่าสุดให้สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของซีอาร์มผ่านปุ่มกดข้างเตียงได้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและอิสระในใช้งานให้กับศัลยแพทย์ การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ 4 แกนอย่างรวดเร็วช่วยป้องกันภาวะการติดเชื้อ และการควบคุมโดยใช้ปุ่มบังคับไร้ทิศทางเพียงตัวเดียว สามารถช่วยควบคุมการเคลื่อนไหว หมุน เอียง ได้ตามต้องการ และมีความเร็วในการหมุนสูงสุดถึง 15 องศาต่อวินาที ซึ่ง 90% ของผู้ใช้งานเชื่อว่าการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์นี้สามารถช่วยประหยัดเวลาในระหว่างกระบวนการทำงานได้[1] นอกจากนี้ Philips Zenition 90 Motorized ยังมาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำในการสร้างภาพ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางคลินิกได้มากขึ้นด้วยการทำงานอัตโนมัติ การควบคุมภาพผ่านโมดูลจอสัมผัสและซอฟต์แวร์ขั้นสูง

สำหรับนวัตกรรมในกลุ่ม Philips Zenition Series นี้ ได้รับการออกแบบที่เน้นด้านความละเอียดของภาพที่คมชัดยิ่งขึ้น มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานง่ายขึ้น หน้าจอแสดงผลที่มาพร้อมคำแนะนำในแต่ละขั้นตอน การกำหนดจุดถ่ายภาพที่แม่นยำ และมีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ Philips Zenition ยังถูกออกแบบให้สามารถรองรับการใช้งานในอนาคต และรองรับการทำหัตถการที่หลากหลายได้ นอกจากนี้ Philips Zenition ยังมาพร้อมเทคโนโลยี Philips BodySmart ซึ่งสามารถกำหนดการปล่อยรังสีในปริมาณที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน ทั้งผู้ป่วยที่มีดัชนีมวลกายสูง ผู้ป่วยสูงอายุ หรือจะเป็นโหมดการทำงานรังสีต่ำ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเด็ก และยังสามารถให้คำแนะนำที่แม่นยำแก่ผู้ใช้งาน เพื่อลดขั้นตอนของการสื่อสารและเวลาในการจัดตำแหน่งผู้ป่วยได้

“นวัตกรรมในกลุ่ม Mobile C-arm เป็นส่วนหนึ่งของในพอร์ทโฟลิโอกลุ่มผลิตภัณฑ์ Philips Image Guided Therapy โดยในปี 2023 ภาพรวมตลาดกลุ่ม Mobile C-arm มีมูลค่ากว่า 390 ล้านบาท และเติบโตกว่า 11% ในขณะที่ฟิลิปส์มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 และเติบโต 2.5% และเราเชื่อว่าหลังจากการผลักดันนวัตกรรมใหม่ในตระกูล Zenition Series พร้อมกลยุทธ์ทางการตลาดและการบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ เราจะสามารถผลักดันยอดขายในกลุ่ม Mobile C-arm นี้ให้เติบโตได้กว่า 5%” นายวิโรจน์กล่าวทิ้งท้าย

0 Shares

อย.ขับเคลื่อนโครงการเครือข่ายชุมชนร่วมใจ ป้องกันภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพ มอบรางวัลผลการดําเนินงานสร้างสังคมรอบรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดดเด่นดีเยี่ยม ระดับประเทศ

อย.ขับเคลื่อนโครงการเครือข่ายชุมชนร่วมใจ ป้องกันภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพ มอบรางวัลผลการดําเนินงานสร้างสังคมรอบรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดดเด่นดีเยี่ยม ระดับประเทศ

เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ สไตลิช คอนเวนชั่น จ.นนทบุรี สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จัดงานมอบรางวัลทรงคุณค่า “ผลงานเครือข่ายสร้างสังคมรอบรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพโดดเด่นดีเยี่ยม ระดับประเทศ (Best of the Best)” ในการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพจากเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพทั่วประเทศ ประจําปีงบประมาณ 2567 ด้วยการขับเคลื่อนโดยเครือข่ายชุมชนร่วมใจ ป้องกันภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพ หรือ เครือข่าย บวร.ร. และ โรงเรียน อย. น้อย ที่กระจายทุกพื้นที่ของประเทศไทยอย่างยั่งยืน


นพ. โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลทรงคุณค่าแก่ผู้ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเดินหน้าสร้างสังคมรอบรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบัน โลกกําลังรับมือกับปัญหาที่หลากหลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะปัญหาด้านสุขภาพ อย่างโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ โรค NCDs ถือเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตคนทั้งโลก ซึ่งในประเทศไทย โรค NCDs เช่น โรคหัวใจ-หลอดเลือด มะเร็ง เบาหวาน เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทําให้คนไทยเสียชีวิตและคนไทยมากกว่า 14 ล้านคนกําลังเผชิญกับโรค NCDs มากกว่า 4.8 ล้านคนเป็นโรคเบาหวาน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 5.3 ล้านคนในปี 2583


อย. ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการคุ้มครองผู้บริโภค และส่งเสริมความรอบรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ จึงเร่งสร้างกลไก สร้างชุมชน และสร้างคน ให้มีศักยภาพในการเลือกซื้อ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างสมประโยชน์ด้วยการขับเคลื่อนให้เกิดเครือข่ายชุมชนร่วมใจ ป้องกันภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพ หรือ เครือข่าย บวร.ร. สะสมทั่วประเทศ กว่า 255 ชุมชน และ โรงเรียน อย. น้อย ซึ่งกระจายอยู่ทุกพื้นที่ของประเทศไทย กว่า 18,000 แห่ง ครอบคลุมทุกกลุ่มวัย เกิดเป็นเครือข่ายชุมชนผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง ที่สามารถจัดการปัญหาด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพได้ด้วยการมีส่วนร่วมรู้สึกเป็นเจ้าของปัญหา และวางแผนจัดการอย่างยั่งยืน มีการดําเนินงานสร้างความรอบรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพที่โดดเด่น (Best Practice) ทั้งในระดับจังหวัดและระดับเขตสุขภาพ
​อาทิเช่น ชุมชนหานโพธิ์ จ.พัทลุง ซึ่งปัญหาที่พบในชุมชนมีทั้งการใช้ยาไม่ถูกต้อง เช่น ยาหมดอายุ เสื่อมสภาพสเตียรอยด์ รวมถึงการบริโภคอาหารหวาน มัน เค็ม เป็นต้น

โดยในชุมชนมีการร่วมมือกันแก้ไขและป้องกันปัญหาในรูปแบบเครือข่าย บ้าน วัด โรงเรียน โรงพยาบาล เน้นกระบวนการ ร่วมรับรู้ ร่วมคิด ร่วมทํา ร่วมติดตามผลและใช้แนวคิด การพัฒนางานอย่างต่อเนื่อง โดยวงล้อมเดิมมิ่ง/PDCA /วงล้อบริหารงานคุณภาพมาขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี2564-ปัจจุบัน โดยนําต้นทุนในพื้นที่มาออกแบบกระบวนการขับเคลื่อนโดย นวัตกรรม 3 ต. ในการแก้ปัญหา (ติดอาวุธทางปัญญา ติดตาม และ ติดตั้งตู้ยาสามัญประจําบ้าน /ตาไว/ไต ) ปัจจุปันการดําเนินงานเกิดความสําเร็จทั้งในเชิงปริมาณ เช่น ปัญหาผู้ป่วยเรื้อรังใช้ยาไม่ถูกต้องลดลงจาก 40.85% เป็น 30.9 % และ 23.8% ตามลําดับ การจําหน่ายยาที่เหมาะสมในร้านชําเพิ่มขึ้นเป็น 100% ปัญหาด้านการกินอาหารที่เหมาะสมกับโรค เพิ่มขึ้นจาก 15.63% เป็น 26.67% และ 32% ตามลําดับและ กลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงโรคไตของชุมชนหานโพธิ์ สามารถชะลอไตเสื่อมได้ 55% ผู้ป่วยความดันสามารถควบคุมความได้เพิ่มขึ้นเป็น 61.88% ผู้ป่วยรายใหม่ลดลง 27.27% ด้านผลลัพธ์เชิงคุณภาพ เกิดข้อตกลงของชุมชน วัด โรงเรียน ผู้ป่วยโรคเรื้องรัง ร่วมกันลดเค็ม (อาหารลดโซเดียม) เกิดทีมทํางานเครือข่าย บวร.ร ที่มีเครือข่ายเพิ่มขึ้น โดยนําต้นทุนของแต่ละเครือข่ายมาร่วมแก้ปัญหาโดยใช้ นวัตกรรม 3 ต ในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหา


ด้านสมาชิกโรงเรียน อย. น้อย อย่างโรงเรียนประสานวิทยามูลนิธิ จ.ปัตตานี นับเป็นอีกหนึ่งโรงเรียนที่มีผลงานด้านนวัตกรรมที่โดดเด่น โดยมีการออกแบบผลงานนวัตกรรมผ่านแอปพลิเคชัน Prasan Check , มีการจัดทําสื่อให้เป็นภาษาท้องถิ่น เช่น ภาษามลายู/อาหรับ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงข้อมูล (กลุ่มเปราะบาง) ของนักเรียน ประชาชนในชุมชนและชายแดนมากขึ้น, ให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพแก่ชุมชนอย่างทั่วถึง และไม่แบ่งแยกทั้งชุมชนไทยพุทธ และมุสลิม สอดคล้องกับการเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม, ขยายโอกาสสู่กลุ่มนักเรียนกลุ่มการศึกษาพิเศษ เช่น โรงเรียนปอเนาะ (โรงเรียนสอนศาสนา) เนื่องจากนักเรียนกลุ่มนี้ขาดโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลทางสุขภาพที่ถูกต้อง และการมีส่วนร่วมกับภาคีเครือข่ายในชุมชน เช่น โรงพยาบาล สสอ. อบต. สถานีตํารวจ ผู้นําชุมชน อสม. และผู้ประกอบการในชุมชน เพื่อส่งเสริมการมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพ และผลิตภัณฑ์สุขภาพ
สำหรับรางวัลทรงคุณค่าที่มอบแก่ผู้ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเดินหน้าสร้างสังคมรอบรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างยั่งยืนในวันนี้ จําแนกเป็น รางวัลหน่วยงานปราบปรามและดําเนินคดีผลิตภัณฑ์สุขภาพดีเด่น จํานวน 2 รางวัล รางวัลผลงานสื่อสร้างสรรค์ นักสื่อสารด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ 18 รางวัล

รางวัลการขับเคลื่อนงานสร้างความรอบรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งมอบให้แก่ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.) ชุมชน และโรงเรียน อย. น้อย รวมจํานวน 105 รางวัล และรางวัลผลงานโดดเด่นดีเยี่ยม (Best of the Best) ระดับประเทศ 9 รางวัล ซึ่งคัดเลือกจากผู้ผ่านการคัดเลือกเป็นตัวแทนผลงานโดดเด่น (Best Practice) ระดับเขตสุขภาพ ของเครือข่าย บวร.ร 16 ผลงาน และตัวแทนผลงานโดดเด่น (Best Practice) ระดับเขตสุขภาพ ของโรงเรียน อย. น้อย จากทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการมีส่วนร่วมกับชุมชน ด้านนวัตกรรม ด้านสื่อสร้างสรรค์และ ด้านคลื่นลูกใหม่ ผลงานโดดเด่น จํานวน 42 ผลงาน โดยผู้ได้รับรางวัล ผลงานโดดเด่นดีเยี่ยม (Best of the Best) ระดับประเทศ ในปีนี้ ได้แก่
1) ชุมชนรอบรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ บวร.ร. ที่มีผลงานโดดเด่นดีเยี่ยม ระดับประเทศ ได้แก่ ชุมชนหานโพธิ์ จ.พัทลุง
2) สุดยอด โรงเรียน อย.น้อย ที่มีผลงานโดดเด่นดีเยี่ยม ด้านคลื่นลูกใหม่ ผลงานโดดเด่น ประเภทโรงเรียนขนาดใหญ่ระดับประเทศ ได้แก่ โรงเรียนปรางค์กู่ จ.ศรีษะเกษ
3) สุดยอด โรงเรียน อย.น้อย ที่มีผลงานโดดเด่นดีเยี่ยม ด้านคลื่นลูกใหม่ ผลงานโดดเด่น ประเภทโรงเรียนขนาดเล็ก ระดับประเทศ ได้แก่ โรงเรียนบ้านยางบอน (อําพานุสรณ์) จ.ศรีษะเกษ
4) สุดยอด โรงเรียน อย.น้อย ที่มีผลงานโดดเด่นดีเยี่ยม ด้านการมีส่วนร่วมกับชุมชน ประเภทโรงเรียนขนาดใหญ่ระดับประเทศ ได้แก่ โรงรียนคลองใหญ่วิทยาคม จ.ตราด
5) สุดยอดโรงเรียน อย.น้อย ที่มีผลงานโดดเด่นดีเยี่ยม ด้านการมีส่วนร่วมกับชุมชน ประเภทโรงเรียนขนาดเล็กระดับประเทศ ได้แก่ โรงเรียนเทศบาลวัดป่าเรไร จ.ร้อยเอ็ด
6) สุดยอด โรงเรียน อย.น้อย ที่มีผลงานโดดเด่นดีเยี่ยม ด้านนวัตกรรม ประเภทโรงเรียนขนาดใหญ่ ระดับประเทศ ได้แก่ โรงเรียนประสานวิทยามูลนิธิ จ.ปัตตานี
7) สุดยอด โรงเรียน อย.น้อย ที่มีผลงานโดดเด่นดีเยี่ยม ด้านนวัตกรรม ประเภทโรงเรียนขนาดเล็ก ระดับประเทศ
ได้แก่ โรงเรียนบ้านขาม จ.สกลนคร
8) สุดยอด โรงเรียน อย.น้อย ที่มีผลงานโดดเด่นดีเยี่ยม ด้านสื่อสร้างสรรค์ ประเภทโรงเรียนขนาดใหญ่ระดับประเทศ ได้แก่ โรงเรียนคุรุประชาสรรค์ จ.ชัยนาท
9) สุดยอด โรงเรียน อย.น้อย ที่มีผลงานโดดเด่นดีเยี่ยม ด้านสื่อสร้างสรรค์ ประเภทโรงเรียนขนาดเล็ก ระดับประเทศ ได้แก่ โรงเรียนปงยางคก (ทิพย์ช้างอนุสรณ์) จ.ลําปาง


ทั้งนี้ การขับเคลื่อนให้เกิดเครือข่ายชุมชนร่วมใจ ป้องกันภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพ หรือเครือข่าย บวร.ร. และ โรงเรียน อย. น้อย เป็นหนึ่งในพันธกิจสําคัญของอย. ตามเป้าหมาย “ ผู้บริโภคปลอดภัย ผู้ประกอบการพัฒนาไกล ระบบคุ้มครองสุขภาพไทยยั่งยืน” โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การดําเนินงานโครงการดังกล่าว จะส่งเสริมให้ประชาชนลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้ให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ถูกต้องและเหมาะสม รวมถึงพัฒนา ขยายเครือข่ายภาคประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยกันจัดการหรือป้องกันปัญหาด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ทางชุมชนในแต่ละพื้นที่นั้น ๆ ประสบอยู่ ตามกําลังและความสามารถของคนในชุมชน สามารถดูแลตนเองให้มีพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ถูกต้อง มีสุขภาพแข็งแรง และปลอดภัย ป้องกันภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพต่อไป

0 Shares