คลังเก็บหมวดหมู่: เศรษฐกิจ

“ก.อุตสาหกรรม” เปิดบิ๊กอีเวนต์ “CRAFT DRINK by DIPROM” สั่งการ “ดีพร้อม” ขนทัพผู้ประกอบการทั่วประเทศ โชว์ศักยภาพเครื่องดื่มไทย

“ก.อุตสาหกรรม” เปิดบิ๊กอีเวนต์ “CRAFT DRINK by DIPROM”
สั่งการ “ดีพร้อม” ขนทัพผู้ประกอบการทั่วประเทศ โชว์ศักยภาพเครื่องดื่มไทย

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงานใหญ่ “CRAFT DRINK by DIPROM ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล” ที่ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างวันที่ 5 – 10 ก.ย. โดยให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) นำผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนจากทั่วประเทศไทยโชว์ศักยภาพเครื่องดื่มไทยที่มีความโดดเด่น ได้แก่ กาแฟ โกโก้ และสุราชุมชน นำไปสู่การต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์และเพิ่มโอกาสทางการตลาดระดับสากลในอนาคต ภายในงานคับคั่งด้วยไฮไลต์ที่น่าสนใจ อาทิ บูธจัดแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชุมชน รวมกว่า 120 บูธ การประกวดสุราชุมชน DIPROM STARS การประกวด Speed Latte Art DIPROM Contest และการประกวด Cocoarista DIPROM Contest พร้อมหลากหลายกิจกรรมสุดครีเอทีฟ รวมถึงการรังสรรค์เครื่องดื่มเมนูพิเศษจากบาร์เทนเดอร์และบาริสต้าชื่อดัง ตลอดจนมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชั้นนำของไทย คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 140 ล้านบาท

น.ส.พิมพ์ภัทรา เปิดเผยว่า ตามที่ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคการเกษตรผ่านการใช้เทคโนโลยี ความรู้ และการสร้างมูลค่าเพิ่มสู่เกษตรอุตสาหกรรม รวมถึงนโยบายของรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ เพื่อสร้างอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ จึงได้จัดงาน “CRAFT DRINK by DIPROM” โดยการนำศาสตร์และศิลป์ของเครื่องดื่มไทยที่มีอัตลักษณ์ ซึ่งมีโอกาสและความท้าทายในการขยายตัวทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในแต่ละท้องถิ่นมาจัดแสดงในงานนี้ เช่น กาแฟ ที่ปัจจุบันมีปริมาณการบริโภคและการเติบโตเพิ่มขึ้นของธุรกิจร้านกาแฟอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยในปี 2566 กาแฟมีมูลค่าตลาดสูงถึง 34,470.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นโอกาสของกาแฟที่เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่อุปทาน

ขณะที่โกโก้ ปัจจุบันตลาดโลกมีแนวโน้ม ความต้องการอยู่ในเกณฑ์ขยายตัวโดยเฉพาะยุโรปและอเมริกาเหนือ อีกทั้งประเทศไทยเหมาะสำหรับการปลูกโกโก้เกือบทุกพื้นที่ เนื่องจากเป็นพืชที่มีความทนทาน รวมถึงสุราชุมชน ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ปลดล็อคสุราพื้นบ้าน โดยการปรับโครงสร้างภาษีเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ เพื่อสร้างโอกาสและยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนให้มีมูลค่าเพิ่มและส่งเสริมให้คนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายและซื้อสินค้าภายในประเทศมากขึ้น

​นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM)ขานรับนโยบายดังกล่าวโดยให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมเกษตรอุตสาหกรรม และเครื่องดื่มไทยสู่ตลาดโลกอย่างเต็มที่ และตอกย้ำเจตนารมณ์ในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเป็นเอกลักษณ์ เพื่อแข่งขันในตลาดสากลได้อย่างยั่งยืน ด้วยการจัดงาน “CRAFT DRINK by DIPROM ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล” โดยชูสินค้า 3 กลุ่มหลักสำคัญ ได้แก่ 1) กาแฟ 2) โกโก้ และ 3) สุราพื้นบ้าน หวังยกระดับสินค้าชุมชน สร้างงาน สร้างอาชีพ พร้อมพัฒนาตลาดสินค้าเครื่องดื่มชุมชนเหล่านี้ให้เป็นที่แพร่หลายไปสู่ระดับโลก โดยงานนี้ เป็นการสร้างปรากฏการณ์การรวมผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของไทย ที่มีความหลากหลายและมีอัตลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่น เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้เป็นส่วนหนึ่งของ Thai Soft Power ด้านอาหาร อีกทั้งยังได้ร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจากกลุ่มผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชนจากทุกภูมิภาค เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ ตั้งเป้ามีผู้ร่วมงานมากกว่าแสนคน และต่อยอดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 140 ล้านบาท ตลอดการจัดงาน 6 วัน


นายภาสกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายในงาน “CRAFT DRINK by DIPROM ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล” รวบรวมผลงานด้านเครื่องดื่มไทยที่โดดเด่น และมีโซนกิจกรรมที่น่าสนใจ แบ่งเป็น 1) โซนแสดงสินค้าและทดสอบตลาดของผู้ประกอบการ พบกับ DRINKING AVENUE ที่รวบรวมร้านค้ากลุ่มผู้ประกอบการกาแฟ โกโก้ และสุราชุมชนจาก
ทั่วประเทศกว่า 122 คูหา ที่ผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อมอบประสบการณ์การดื่มที่หลากหลายและน่าตื่นเต้นให้กับผู้เข้าร่วมงาน พร้อมร่วมสัมผัสรสชาติและคุณภาพของผลิตภัณฑ์จากแหล่งผลิตที่ดีที่สุดของไทยทั้งหมดในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นคนรักกาแฟ โกโก้ หรือสุราชุมชน งานนี้มีทุกสิ่งที่ทุกคนต้องการเพื่อเติมเต็มประสบการณ์ในการดื่มเครื่องดื่มชั้นเลิศ

2) โซนบูธนิทรรศการ ให้ความรู้ และบริการที่จะมอบความรู้และบริการหลากหลายแก่ผู้เข้าร่วมงาน โดยประกอบไปด้วยบูธจาก DIPROM ที่นำเสนอข้อมูลและบริการที่เกี่ยวข้อง กาแฟ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการผลิตและการบริโภคกาแฟ ตั้งแต่การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงการชงและเสิร์ฟกาแฟที่สมบูรณ์แบบ โกโก้ ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิตโกโก้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมรายละเอียดการแปรรูปโกโก้เป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และสุราชุมชน ที่เปิดเผยเรื่องราวและขั้นตอนการผลิตสุราชุมชนจากทั่วประเทศ ให้ผู้เข้าร่วมงานได้เรียนรู้และสัมผัสกับกระบวนการผลิตสุราที่เป็นเอกลักษณ์ และ 3) โซนเวทีกิจกรรม พบกับสองเวทีที่น่าสนใจ เวทีใหญ่: Co-Drinking Space จะเป็นพื้นที่สำหรับการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการ ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และโอกาสทางธุรกิจ และ เวทีย่อย: DIPROM Drink Lab จะมีการจัดเวิร์กช็อปและเสวนาในหลากหลายหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม เพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะให้กับผู้เข้าร่วมงาน พร้อมมินิคอนเสิร์ตและกิจกรรมพิเศษจากศิลปินชื่อดัง อาทิ ซาร่า ซาโลร่า อะตอม ชนกันต์ และ คริส พีรวัส เพื่อสร้างสีสัน และดึงดูดความน่าสนใจให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไป

ผู้สนใจสามารถร่วม ช้อป เชียร์ ชิม ชม ในงาน “CRAFT DRINK by DIPROM ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล” ระหว่างวันที่ 5 – 10 ก.ย. เวลา 10.00 – 22.00 น. ที่ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ติดตามข่าวสารและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/dipromindustry หรือสอบถามข้อมูลได้ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) โทร. 0 2430 6860 หรือเว็บไซต์ www.diprom.go.th

0 Shares

อินฟอร์มาฯ โชว์พลังจัดงาน “ Food ingredients Asia” ครั้งที่ 28 ที่อินโดนีเซีย ชูศักยภาพภูมิภาคอาเซียนฮับเบอร์หนึ่ง ส่งออกวัตถุดิบอาหารของตลาดโลก

อินฟอร์มาฯ โชว์พลังจัดงาน “ Food ingredients Asia” ครั้งที่ 28 ที่อินโดนีเซียชูศักยภาพภูมิภาคอาเซียนฮับเบอร์หนึ่ง ส่งออกวัตถุดิบอาหารของตลาดโลก

เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ งานแสดงสินค้าเทคโนโลยี และนวัตกรรม ส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ นำทัพผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารจาก 76 ประเทศ ร่วมงาน “ฟู้ด อินกรีเดียนท์ส เอเชีย” (Food ingredients Asia) ที่ อินโดนีเซียโชว์ศักยภาพ การเป็นฮับเบอร์หนึ่งของภูมิภาคอาเซียน แหล่งส่งออกวัตถุดิบอาหารของตลาดโลก พร้อมรับมือวิกฤตการณ์อาหารโลกในอนาคต

น.ส.รุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญและมีศักยภาพในการเป็นฮับของการส่งออกวัตถุดิบอาหารของตลาดโลก และอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เป็นหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมอาหาร โดยในปีนี้งาน Food ingredients Asia 2024 ย้ายมาจัดที่ประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารในประเทศอินโดนีเซียมีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีมูลค่าสูงถึง 280,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 อัตราการเติบโตสูงถึง 6.12% ต่อปี ขณะที่ตลาดเบเกอรี่และซีเรียลได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้บริโภค ส่งผลให้ตลาดนี้มีมูลค่า 51,990 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีเดียวกัน

“ในฐานะผู้จัดงาน มองว่าแม้การจัดงานปีนี้จะเกิดขึ้นที่อินโดนีเซีย แต่ไม่ได้เป็นการตัดโอกาสของผู้ประกอบการไทย อินโดนีเซียมีประชากรหนาแน่น การบริโภคสูง นี่นับเป็นโอกาสที่ดีต่อผู้เข้าร่วมงาน ทั้งผู้ประกอบการอาหาร เครื่องดื่ม นักวิจัย นักเทคโนโลยีอาหาร จากทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมนี้ ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่จะได้อัพเดตเทรนด์อาหาร ที่เปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงทิศทางของอุตสาหกรรมอาหารเพื่อให้สอดคล้องกับวิกฤตการณ์ด้านอาหารโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมถึงแนวทางการขยายตลาดอุตสาหกรรมอาหารในอนาคต”

“พฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกส่วนใหญ่เริ่มมองหาอาหารที่ตอบโจทย์ความต้องการ ด้านการดูแลสุขภาพ เช่น ลดความหวาน ความเค็ม ให้พลังงานสูง แคลลอรี่ต่ำ แต่ยังคงความอร่อย หรือโจทย์ด้านการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางสังคม เช่น ไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ ที่การบริโภคและความต้องการของผู้สูงวัยจะเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสม งาน Food ingredients Asia 2024 จึงเป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญที่ช่วยผลักดันผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติ ในการแสดงศักยภาพและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ สิ่งที่เป็นความท้าทายคือ การดำเนินธุรกิจ พัฒนาสินค้าต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าให้มากขึ้น”

Food ingredients Asia 2024 อินโดนีเซีย เป็นงานแสดงสินค้า เทคโนโลยีและนวัตกรรม ส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน เป็นงานที่ผู้อยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร ผู้เชี่ยวชาญ ซัพพลายเออร์ ผู้ผลิตจากทั่วโลกมารวมตัวกัน นับเป็นงานที่ทรงอิทธิพลและเป็นศูนย์กลางในการสร้างเครือข่ายพันธมิตร การแบ่งปันข้อมูล และการค้นหาโอกาสทางธุรกิจเกี่ยวกับส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่ม งาน Fi Asia Indonesia มุ่งเน้นการส่งเสริมอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ปลอดภัย และมีความยั่งยืน ทำให้งานแสดงสินค้านี้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารในภูมิภาค โดยภายในงานมีไฮไลท์ที่น่าสนใจดังนี้

1.Bev hub พื้นที่นำเสนอแนวคิดนวัตกรรมเครื่องดื่มที่ทันสมัย รสชาติใหม่ และโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน เป็นจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่สนใจอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2.Halal workshop เวิร์คชอปและการฝึกอบรมที่จะมอบข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับกระบวนการรับรองฮาลาลและโอกาสในตลาดให้กับผู้เข้าร่วม
3.Halal coaching clinic การแบ่งปันข้อมูลและคำแนะนำสำหรับธุรกิจฮาลาล โดย Halal industry Empowerment Center (PPIH) กระทรวงอุตสาหกรรม
4.Snack bar แนวโน้มใหม่ในอุตสาหกรรมขนมขบเคี้ยวของอินโดนีเซีย พื้นที่นี้นำเสนอความหลากหลายของตลาดขนมขบเคี้ยวของอินโดนีเซีย
5.Innovation tour ร่วมชมงาน Food Ingredients Asia กับผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในตลาดจาก Nutrimarketing สำหรับการทัวร์ชมงานแสดงสินค้าระยะเวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งจะเน้นไปที่นวัตกรรมการลดและทดแทนสารน้ำตาล, แนวคิดอาหารที่มีคุณสมบัติสำหรับสุขภาพครบวงจร, และนวัตกรรมขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ
6.Innovation zone สำรวจความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอาหารที่โซนนวัตกรรมกับ Innova Market Insights ค้นพบส่วนผสมใหม่ล่าสุดและการใช้งาน รวมถึงส่วนผสมที่มีประโยชน์, โซลูชันที่ยั่งยืน และผลิตภัณฑ์ที่มีป้ายClean label
7.Sustainability square เยี่ยมชม Sustainability Square สัมผัสประสบการณ์ที่น่าสนใจและลงมือทำจริง เรียนรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติอาหารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน เข้าร่วมกิจกรรมสนุกๆ ที่ออกแบบโดยพันธมิตรด้านความยั่งยืน

 

“นี่เป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะได้แสดงศักยภาพด้านนวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เชื่อว่าสินค้าภายใต้แบรนด์ไทยในอุตสาหกรรมนี้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ และจะมีโอกาสเพิ่มมูลค่ามากขึ้นหากสินค้านั้นๆ ได้รับมาตรฐานฮาลาล เพราะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลาดมุสลิมมีขนาดประมาณ 42% ซึ่งเป็นเรื่องดีต่อผู้ประกอบการไทยที่จะหาคู่ค้า หรือพันธมิตรในงาน”

คาดว่างานนี้จะมีผู้เข้าร่วมชมงานมากกว่า 22,800 คน สร้างมูลค่าเพิ่มและต่อยอดเครือข่ายทางธุรกิจได้มากในอนาคต งาน Food ingredients Asia 2024 จัดขึ้นที่ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 4-6 ก.ย. ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติ จาการ์ตา Jakarta International Expo หรือ JIExpo

0 Shares

อินทรี อีโคไซเคิล ตอกย้ำความเป็นผู้นำจัดการของเสียอย่างยั่งยืน ทำลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

อินทรี อีโคไซเคิล ตอกย้ำความเป็นผู้นำจัดการของเสียอย่างยั่งยืน ทำลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

อินทรี อีโคไซเคิล สานต่อภารกิจ “ทำลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่คดีถึงที่สุดแล้ว” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ด้วยกระบวนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีของเสียสู่หลุมฝังกลบ (Zero Waste to Landfill) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการจัดการของเสียและดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยอินทรี อีโคไซเคิลได้รับความไว้วางใจจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ให้ดำเนินการจัดการทั้งหมด ครอบคลุมตั้งแต่ การรับมอบ ขนย้าย ทำลาย รวมทั้งดำเนินการจัดพิธีทำลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยการทำลายของกลางดำเนินการที่จ.สระบุรีและชลบุรี ส่วนพิธีทำลายของกลางจัดขึ้นที่ ณ กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 7 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธี เมื่อวันที่4 ก.ย.

นายบรูโน ฟ๊อกซ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทรี อีโคไซเคิล จำกัด บริษัทในกลุ่มบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง กล่าวว่า “อินทรี อีโคไซเคิลมุ่งมั่นที่จะให้บริการด้านการจัดการของเสียและการบริการภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน เรามีความเชี่ยวชาญในการการเปลี่ยนของเสียให้เป็นพลังงานความร้อนกลับมาใช้ใหม่หรือเชื้อเพลิงทดแทน หรือที่เรียกว่า ‘Energy Recovery’ เป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับองค์กรภาครัฐและเอกชน เพื่อให้บริหารการจัดการของเสียที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”

“เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับความไว้วางใจจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์อีกครั้ง การจัดการทำลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ตั้งแต่การขนย้ายไปจนถึงการทำลายให้สิ้นสภาพถือเป็นความรับผิดชอบที่เราให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง กระบวนการทำลายได้ดำเนินการอย่างรัดกุม ซึ่งถือเป็นปีที่ 5 ที่เรามีส่วนร่วมในปฏิบัติการสำคัญครั้งนี้” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อินทรี อีโคไซเคิล กล่าว

สำหรับขั้นตอนการทำลายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานั้น รถบรรทุกซึ่งติดตั้งระบบติดตาม GPS และซีลนิรภัยจะทำการขนย้ายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไปยังสถานที่ทำลาย ของกลางเหล่านี้จะถูกคัดแยกและบดย่อยให้สิ้นสภาพ ก่อนที่จะนำไปเผาร่วมกับเชื้อเพลิงหลักในเตาเผาปูนซีเมนต์ที่อุณหภูมิสูงกว่า 1,800 องศาเซลเซียส เทคโนโลยีนี้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน สามารถนำพลังงานความร้อนกลับมาใช้ใหม่ได้ พร้อมช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพของชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยกระบวนการนี้จะไม่มีขยะไปสู่หลุมฝังกลบ หรือ Zero Waste to Landfill การดำเนินการทั้งหมดได้รับการตรวจสอบโดยระบบวงจรปิด โดยใช้เทคโนโลยี RFID เพื่อติดตามรถบรรทุกทั้งหมดภายในโรงงาน ทำให้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัยและการควบคุมในระดับสูงสุด

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อินทรี อีโคไซเคิล โทร. 1732 กด 6 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.inseeecocycle.com

0 Shares

‘ไทวัสดุ เคียงข้าง สร้างสุข’ รวมใจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ น่าน เชียงราย แพร่

‘ไทวัสดุ เคียงข้าง สร้างสุข’ รวมใจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ น่าน เชียงราย แพร่

ไทวัสดุ ผู้นำธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ภายใต้ บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ได้ร่วมปันน้ำใจ บรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดน่าน เชียงราย และแพร่ ใน โครงการ ‘ไทวัสดุ เคียงข้าง สร้างสุข’ ซึ่งได้แบ่งความช่วยเหลือเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะประสบภัย ระยะทำความสะอาด และระยะฟื้นฟู โดยมีการระดมกำลังอาสาจากพนักงานไทวัสดุ เข้าพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วนและทันท่วงที เพื่อร่วมมอบบริจาคน้ำดื่ม ถุงขยะ และสิ่งของอุปโภคบริโภคแก่หน่วยงานในพื้นที่ต่างๆ ดังนี้

· น่าน: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.น่าน หน่วยกู้ชีพกู้ภัยสว่างนครน่านรวมใจ ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยฯ องค์การบริหารส่วนจังหวัดน่าน และศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เทศบาลเมืองน่าน
· เชียงราย: ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย หมู่บ้านปางค่า ต.ตับเต่า อ.เทิง จ.เชียงราย และศูนย์ดำรงธรรม องค์การบริหารส่วนตำบลเวียง หมู่บ้านห้วยไคร้ จ.เชียงราย
· แพร่: นายชุติเดช มีจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ พร้อมด้วยนายคุณากร คชหิรัญ นายชัยสิทธิ์ ชัยสัมฤทธิ์ผล รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ รับมอบน้ำดื่มและเงินบริจาค ที่หน้ามุขศาลากลางจ.แพร่

ทั้งนี้ไทวัสดุ ยังคงให้ความช่วยเหลือทั้งสามจังหวัดอย่างต่อเนื่องเป็นระยะที่สอง คือ ระยะทำความสะอาด Big Cleaning ด้วยการบริจาคเครื่องมืออุปกรณ์ทำความสะอาด ไม้กวาดทางมะพร้าว ที่โกยผง ถุงมือยาง และถุงขยะ โดยไทวัสดุ ได้เข้าไปร่วมช่วยเหลือทำความสะอาด อาคารสถานที่ที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเข้าไปช่วยเหลือโรงเรียนและชุมชนแล้ว 6 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนวัดดอนตัน โรงเรียนสตรีศรีน่าน โรงเรียนบ้านสบหนอง จ.น่าน และ บ้านร่องขามป้อม หมู่9 บ้านเหล่า หมู่ 1 บ้านทุ่งขันชัย หมู่ 7 ต.เวียง อ.เทิง จ.เชียงราย การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครั้งนี้รวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท และสำหรับความช่วยเหลือในระยะที่สาม คือ ระยะฟื้นฟู กำลังอยู่ในช่วงหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปและยังคงมีการดำเนินการให้ความช่วยเหลือแก่จังหวัดอื่น ๆ ที่กำลังได้รับผลกระทบต่อไป จนกว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลาย

นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “โครงการ‘ไทวัสดุ เคียงข้าง สร้างสุข’ นี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ ซึ่งเรามุ่งมั่นที่จะอยู่เคียงข้างชุมชนและคนไทยทุกคนให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตน้ำท่วมนี้ไปด้วยกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าภัยน้ำท่วมนี้จะคลี่คลายโดยเร็ว การให้ความช่วยเหลือครั้งนี้สะท้อนถึงปรัชญาในการดำเนินธุรกิจ CRC Care ของเซ็นทรัล รีเทล ในด้าน Care for the Community ที่ไทวัสดุได้ยึดมั่นมาโดยตลอดและตระหนักถึงความสำคัญของการอยู่เคียงข้างพร้อมช่วยเหลือพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน”

0 Shares

เปิดยิ่งใหญ่ งานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น และ งานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สองงานสำคัญแห่งภูมิภาค

เปิดยิ่งใหญ่ งานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น และ
งานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สองงานสำคัญแห่งภูมิภาค

​​กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น และกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดงานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น 2567 (Bangkok RHVAC 2024) และงานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 2567 (Bangkok E&E 2024) รวมสินค้าและบริการหลากหลายจากผู้ผลิตชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ ภายใต้แนวคิด “One Stop Solution for Net Zero Future” พร้อมกิจกรรมมากมายทั้งการสัมมนาวิชาการ นิทรรศการนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ระหว่างวันที่ 4-7 ก.ย. ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา​

​​นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ประธานในพิธีเปิดงาน เปิดเผยว่า งานแสดงสินค้านี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่จัดขึ้นตามนโยบายนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สั่งการให้ขับเคลื่อนกิจกรรมขยายตลาดสินค้าไทยสู่ตลาดต่างประเทศในรูปแบบต่างๆ ให้สอดคล้องกับกระแสโลก โดยอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานภายในประเทศสูงถึง 660,000 ราย และยังเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจการค้าและการส่งออกของประเทศ โดยประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศอันดับที่ 2 ของโลก และในขณะเดียวกันยังเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกเครื่องทำความเย็นอันดับที่ 6 ของโลก

​​“งานแสดงสินค้า Bangkok RHVAC และงานแสดงสินค้า Bangkok E&E เป็นเวทีแสดงศักยภาพและเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ซื้อ ผู้นำเข้าจากทั่วโลก และยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์แนวโน้มความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนเป็นการเชื่อมโยงสร้างเครือข่ายระหว่างกันในระดับสากล” รองปลัดกระทรวงพาณิชย์กล่าว

​​ในปีนี้ งานแสดงสินค้า Bangkok RHVAC และงานแสดงสินค้า Bangkok E&E ได้กลับมาจัดงานอย่างเต็มรูปแบบ บนพื้นที่การจัดงานกว่า 20,000 ตารางเมตร โดยงานแสดงสินค้า Bangkok RHVAC จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 14 และงานแสดงสินค้า Bangkok E&E จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 ภายใต้แนวคิด “One Stop Solutions for Net Zero Future” ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อเทรนด์สำคัญของโลกที่อุตสาหกรรมนี้ของไทย ตั้งใจมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมาย Net Zero emissions ในปี 2608 (ค.ศ. 2065)

​​การจัดงานในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้า รวมกว่า 300 ราย 800 คูหา จากทั้งไทย อาเซียน จีน ฮ่องกง เกาหลี อินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ในงานจะมีทั้งแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศชั้นนำ ผู้ผลิตส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ ผู้ผลิตตู้เย็น ตู้แช่แข็ง ไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญด้านออกแบบและก่อสร้างห้องเย็น ผู้ผลิตคอมเพรสเซอร์ในระบบทำความเย็นและผู้ผลิตระบบควบคุมและอุปกรณ์ในระบบทำความเย็น ตลอดจนผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำ ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน อุปกรณ์ไฟฟ้าอุตสาหกรรม/พาวเวอร์ซัพพลาย ไฟฟ้ากำลัง อุปกรณ์ไอที ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ประกอบ คาดการณ์ว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมชมงาน จากทั่วโลกมากกว่า 10,000 ราย และเกิดมูลค่าการเจรจาการค้าภายในงานกว่า 4,500 ล้านบาท

​​ภายในงานจะมีโซนพิเศษที่เป็น highlight ได้แก่ นิทรรศการ One Stop Solutions for Net Zero future โซนจัดแสดงสินค้าโดดเด่น Product Highlight ของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงาน นิทรรศการพิเศษ OZONE และ e-Waste นอกจากโซนพิเศษภายในงานแล้วยังมีสัมมนาวิชาการ โดยหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ เช่น “แนวทางการรับรองระบบทำความเย็นที่ใช้แอมโมเนียเป็นสารทำความเย็นตามที่กฎหมายกำหนดเพื่อก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” “HVAC and Nearly Zero Energy Building Approach” เป็นต้น และกิจกรรมเสวนาภายในนิทรรศการ โดย Green Influencer ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ คุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล และลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป เพื่อตอบโจทย์ Net Zero Future

​​อีกหนึ่งความพิเศษสำหรับการจัดงาน Bangkok RHVAC และ Bangkok E&E ในปีนี้ คือ การจัดงานแสดงสินค้าเสมือนจริง (Virtual Trade Show) ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจสินค้าในอุตสาหกรรม RHVAC และ E&E แต่ไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานด้วยตนเองได้ สามารถเลือกชมสินค้า พร้อมทั้งเจรจาการค้าผ่านช่องทางออนไลน์ร่วมกับผู้ประกอบการได้เสมือนเดินทางมาที่งาน ได้ที่ https://ditpvirtual.com/RHV024

​​งาน Bangkok RHVAC 2024 และ Bangkok E&E 2024 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 ก.ย. ที่Hall 98-100 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยเป็นวันเจรจาการค้าระหว่างวันที่
4-6 ก.ย. และวันสุดท้ายจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมและซื้อสินค้า ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้าได้ที่ www.bangkok-rhvac.com

0 Shares

ส.การค้ายาสูบไทย จี้ภาครัฐ พิฆาตบุหรี่ผิดกม. หลังทำวอดกว่า 3 หมื่นล้านบาท

ส.การค้ายาสูบไทย จี้ภาครัฐ พิฆาตบุหรี่ผิดกม. หลังทำวอดกว่า 3 หมื่นล้านบาท

ปัญหา “บุหรี่ผิดกฎหมาย” ที่ครอบคลุมทั้งบุหรี่ปลอม และบุหรี่เถื่อนนับวันสร้างผลกระทบกับอุตสาหกรรมยาสูบทั้งระบบแล้วในวันนี้กว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยส่วนที่ถูกสังเวยไปแล้วมีทั้งภาษีสรรพสามิต 2.4 หมื่นล้านบาท ภาษีมหาดไทย 1,800 ล้านบาท ภาษีอื่น 4,000 ล้านบาท รวมทั้งรายได้ชาวไร่ยาสูบ 300 ล้านบาท และรายได้ของผู้ประกอบการและร้านค้า 7,000 ล้านบาท

ที่สำคัญ สัญญาณวิกฤติยังจะเห็นได้จากการขาย “บุหรี่ผิดกฎหมาย” เย้ยกฎหมายบนช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์เดิม) และสั่งซื้อผ่านข้อความส่วนตัว (Direct Message) LINE และ TikTok ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงอายุผู้เสพบุหรี่ที่ลดลงไปถึงเยาวชน และผู้หญิงเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ สัญญาณวิกฤติอีกประการ คือ ตลาดนี้เติบโตอย่างพุ่งทะยาน จับเท่าไรก็ไม่หมด ขณะที่ภาครัฐก็ดำเนินการได้ไม่ทันการณ์ ทำให้ผลกระทบในภาพรวมเกิดขึ้นในวงกว้าง
นางสาวธัญญศรัณ แสงทอง ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมการค้ายาสูบไทย เผยถึงปัญหา ความคืบหน้า และมุมมองของสมาคมต่ออุตสาหกรรมนี้ว่า ที่ผ่านมาเราได้ปฏิบัติการเชิงรุกทั้งในส่วนของการลงพื้นที่ภาคใต้อย่างภูเก็ต สตูล พัทลุง สงขลา นครศรีธรรมราช เพราะมีชายแดนทั้งทางบก ทางทะเลติดกับประเทศเพื่อนบ้านมากถึง 60% และมีการบริโภคบุหรี่ผิดกฎหมายมากถึง 60% ขณะเดียวกัน ก็ดำเนินการเพื่อขอความร่วมมือกับภาคการบริหารท้องถิ่นนับแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด สรรพสามิต ศุลกากร หอการค้า ตลอดจนร้านค้าบุหรี่ของสมาคมที่มีกว่า 5 แสนรายก็ช่วยแจ้งเบาะแส นอกจากนี้ ยังมีแพลตฟอร์มแจ้งเบาะแสบนเว็บไซต์ของสมาคมฯ ที่เปิดให้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสโดยไม่ระบุตัวตนได้ โดยสมาคมฯ จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการนำส่งข้อมูลแก่หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายต่อไป หรือแจ้งเบาะแสบนเว็บไซต์กรมสรรพสามิต และการยาสูบแห่งประเทศไทย ด้วยวิธีการระบุตัวตนเพื่อรับรางวัลนำจับด้วย

ขณะเดียวกัน สมาคมฯ ยังรุกขอความร่วมมือกับกระทรวง และหน่วยงานระดับประเทศให้ลงมาปราบปรามปัญหานี้อย่างจริงจัง นับแต่กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัล กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทรวงยุติธรรม รวมทั้งได้ยื่นเอกสารขอความร่วมมือถึงนายกรัฐมนตรีผ่านสำนักนายกรัฐมนตรี และได้รับหนังสือตอบรับมาแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีคนใหม่ก็หวังว่า ปัญหานี้จะยังคงได้รับความสนใจจากท่านด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้สมาคมฯ ​จะมีปฏิบัติการเชิงรุกแบบลงลึกและครอบคลุมอย่างต่อเนื่องตลอดมา ทว่า สิ่งที่น่าแปลกใจ คือ กลับไม่มีความคืบหน้าจากภาครัฐเท่าที่ควร ทั้งที่การค้าบุหรี่ผิดกฎหมายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาการทุจริตที่ทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของทุกคนไปอย่างมหาศาล เพราะเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้ง่ายๆ ว่า ในจำนวนผู้สูบบุหรี่ทุก 4 คนจะมีคนสูบบุหรี่ผิดกฎหมาย 1 คน และตลาดนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดดมากๆ ด้วยมีส่วนแบ่งตลาด 25% ภายใน 3 ปี เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีเพียง 11.4% เท่านั้น

ความรุนแรงของปัญหาที่ถาโถมเข้ามามีทั้งมิติของสังคม สุขอนามัย และเศรษฐกิจ แบ่งเป็น 1) การขยายตัวเข้าตลาดอื่นๆ นอกจากภาคใต้ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เช่น นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี 2) การขยายช่องทางการขายผ่านโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม เอ็กซ์ (X หรือทวิตเตอร์เดิม), เฟซบุ๊ก, ติ๊กต็อก ที่มีการโฆษณาขายกันอย่างเปิดเผย และส่งสินค้าในรูปของพัสดุผ่านการขนส่งของเอกชน (ธุรกิจคูเรียร์) 3) กลุ่มผู้เสพบุหรี่ที่มีอายุลดน้อยลงเรื่อยๆ ลงไปถึง Gen Z จากการซื้อหาได้ง่าย สะดวกและขนส่งผ่านพัสดุ ด้วยบริการจ่ายเงินปลายทาง
สำหรับประเด็นการซื้อขายผ่านพัสดุนั้น ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา สมาคมฯ พบว่ามีการจับกุมบุหรี่ผิดกฎหมายภายในประเทศผ่านศูนย์ไปรษณีย์ขนส่งชลบุรี ตราด สระแก้ว กระบี่ สงขลา ยอดรวมกว่า 3 แสนซอง หรือกว่า 6 ล้านมวน ซึ่งมีผลกระทบต่อร้านค้าโชห่วยกว่า 5 แสนรายทั่วประเทศ ดังนั้น จึงอยากวอนขอให้ภาครัฐเร่งปราบปรามช่องทางออนไลน์ เนื่องจากการขายผ่านออนไลน์นั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่า ผู้ขายไม่ต้องเปิดเผยตัวตนและสามารถใช้บัญชีม้าปกปิดเส้นทางการเงินได้

สมาคมฯ มีความเห็นว่า ปัญหานี้ควรแก้ไขด้วย 4 แนวทาง “ปราบปราม – ขยายผล – ประชาสัมพันธ์ – เทคโนโลยีสมัยใหม่” ประกอบด้วย ปราบปราม ร้านค้าบุหรี่ผิดกฎหมายที่มีหน้าร้าน เพื่อให้ผู้กระทำผิดตระหนักถึงโทษและป้องกันมิให้กระทำผิดอีกอย่างต่อเนื่อง และลดจำนวนผู้ค้าหน้าใหม่ที่มองเฉพาะผลกำไรจากการทำธุรกิจผิดกฎหมาย พร้อมทั้งปราบปราม/ปิดกั้นช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการประสานความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลและเจ้าของแพลตฟอร์มต่างๆ ขยายผล ด้วยการสืบสวนขยายผลหาผู้กระทำผิดรายใหญ่ แหล่งต้นทางของสินค้าในประเทศเพื่อนบ้านที่มีข่าวว่าเป็นเส้นทางลำเลียง อาทิ เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา ผ่านชายแดนทั้งทางบกและทางทะเล ฯลฯ ประชาสัมพันธ์ ผลการจับกุม การดำเนินคดี และการทำลายสินค้าของกลาง เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับร้านค้าและประชาชน เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเข้ามาช่วยตรวจสอบ ป้องกัน/ปราบปราม อาทิ การจัดสรรงบสนับสนุนเครื่องเอกซเรย์ขนาดพกพา เพื่อช่วยให้การทำงานของเจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สิ่งที่ สมาคมการค้ายาสูบไทย กล่าวมานี้ถือได้ว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยวของ “ภูเขาน้ำแข็ง” ที่มองเห็นเท่านั้น เพราะจากสถิติการจับกุมช่วงต.ค.66 – ม.ค.67 ที่มีการจับกุมบุหรี่เถื่อนกว่า 8.5 ล้านมวน มูลค่า 47.6 ล้านบาท บุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาและอุปกรณ์ 6.9 หมื่นชิ้น มูลค่า 15.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.1% ของสินค้าที่ทะลักจีน ซึ่งศุลกากรจีนระบุว่ามีการส่งออกบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาและอุปกรณ์ (พิกัดศุลกากร 8543.40, 2404.12) มายังประเทศไทยช่วงม.ค. – พ.ย. 66 กว่า 1,600 ล้านบาท

0 Shares

สวทช. โชว์ความสำเร็จจากโครงการ “แปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม ” ส่งเสริมผู้ประกอบการสร้างรายได้มุ่งสู่ 1,000 ล้านบาทต่อปี

สวทช. โชว์ความสำเร็จจากโครงการ
“แปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม “ส่งเสริมผู้ประกอบการสร้างรายได้มุ่งสู่ 1,000 ล้านบาทต่อปี

เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่อาคาร ซีอาเซียน ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ : ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. พร้อมด้วย คุณจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ ประธานคณะอนุกรรมการแผนงานพัฒนาและส่งเสริมให้ประเทศเพิ่มธุรกิจฐานนวัตกรรม (IDEs) ขนาดใหญ่ Innovation Driven Enterprises ร่วมพิธีประกาศความสำเร็จโครงการ “แปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม (Innovation Growth Hacker)” ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาผู้ประกอบการให้สามารถสร้างรายได้สูงถึง 1,000 ล้านบาทต่อปี และ/หรือมีการเติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ภายใน 3 ปี ผ่านการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น Product Innovation Process Innovation Market Innovation และ Organization Innovation เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการธุรกิจฐานนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprises: IDEs)

โดยโครงการดังกล่าวมุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวให้เข้ากับการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่รวดเร็ว ตลอดจนความท้าทายใหม่ ๆ ในบริบทปัจจุบัน ซึ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรม ต่าง ๆ เหล่านี้จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนองค์กร สร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง และมีโอกาสในการเติบโตในเวทีระดับโลกต่อไป

ดร.สมบุญ กล่าวว่า โครงการ “แปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม (Innovation Growth Hacker)” ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในยุคที่การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมกลายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วและยั่งยืน การพัฒนาผู้ประกอบการที่สามารถสร้างรายได้สูงถึง 1,000 ล้านบาทต่อปี ไม่เพียงเป็นความสำเร็จเฉพาะตัวของผู้ประกอบการ แต่ยังสะท้อนถึงการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม สวทช. รู้สึกยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนนี้ และจะยังคงสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

“โครงการนี้ยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการผสมผสานระหว่างนวัตกรรมและการจัดการที่ทันสมัย เรามุ่งหวังให้โครงการนี้ไม่เพียงแต่จะขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต แต่ยังจะช่วยสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งในแง่ของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทยโดยรวม”

นางศันสนีย์ กล่าวว่า โครงการ “แปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม (Innovation Growth Hacker)” นับเป็นโครงการสำคัญในการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถยกระดับธุรกิจด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล แม้ท่ามกลางความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในยุคปัจจุบัน ทั้งนี้โครงการได้รับการสนับสนุนจาก สวทช. และ บพข. โดยมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยสู่การเป็นธุรกิจฐานนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprises: IDEs) ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการในประเทศไทยสามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตสูง โดยผ่านการสนับสนุนจากหน่วยงานพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในหลากหลายสาขา อาทิ การประเมินศักยภาพด้านนวัตกรรม และการสร้างกลยุทธ์เชิงธุรกิจเพื่อนำพาธุรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายธุรกิจได้อย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน โครงการนี้ยังมุ่งสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนผ่านการสร้างเครือข่ายผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านนวัตกรรม (Innovation Stakeholder Ecosystem) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค

ภายในงานมีการเสวนาพิเศษที่น่าสนใจจากผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคตของเศรษฐกิจไทยที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม การอภิปรายในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับบทบาทของเทคโนโลยีในการพัฒนาธุรกิจ และการแชร์ประสบการณ์จริงจากผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในโครงการ หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานคือการบรรยายพิเศษจาก CEO ขององค์กรระดับแนวหน้าของประเทศ ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในธุรกิจและผลักดันให้เกิดการเติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัว Showcase ด้าน Influencer Marketing ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ทรงพลังในยุคดิจิทัล ที่ไม่เพียงแต่สร้างการรับรู้ แต่ยังช่วยเพิ่มยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

ทั้งนี้ในอนาคตโครงการ “แปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม (Innovation Growth Hacker)” มีแผนที่จะสานต่อความสำเร็จในปีถัดไป โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้ก้าวไปสู่การเป็นธุรกิจฐานนวัตกรรมที่เข้มแข็งและยั่งยืนยิ่งขึ้น ผ่านการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาธุรกิจไทยให้มีศักยภาพในการแข่งขันในเวทีระดับโลก

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการได้ที่ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. 111 อาคาร Garden of Innovation ห้องเลขที่ GOI 15 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย หมู่ที่ 9 ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120 โทร. 02-564-7000 ต่อ 71748, 5373 Facebook: https://www.facebook.com/NstdaBID Email: bid@nstda.or.th

0 Shares

XSPRING จับมือ ก.ล.ต. – ตลาดหลักทรัพย์ฯ – ส.คนหูหนวกฯ สร้างความเท่าเทียมทางการเงินให้กับผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน

XSPRING จับมือ ก.ล.ต. – ตลาดหลักทรัพย์ฯ – ส.คนหูหนวกฯ สร้างความเท่าเทียมทางการเงินให้กับผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน

ผ่านโครงการ “Because Sharing is Caring – The Unsilenced Truths เสียงไม่เงียบ เงินทองเรื่องต้องรู้” หวังลดปัญหาผู้พิการถูกหลอกลงทุน

· XSPRING ผู้นำทางการเงินยุคใหม่ กางเป้าหมายมุ่งเติบโตบนหลักความยั่งยืน จับมือ ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสมาคมคนหูหนวกฯ เปิดโครงการ “Because Sharing is Caring – The Unsilenced Truths เสียงไม่เงียบ เงินทองเรื่องต้องรู้” สร้างความเท่าเทียมทางการเงินให้กับกลุ่มผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน ผ่านการจัดสัมมนา และวิดีทัศน์บนสื่อออนไลน์

XSPRING ตอกย้ำการใช้ความเชี่ยวชาญด้านการเงินดูแลสังคมอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หลังปี 2566 นำร่องโครงการ “PLAY TO WIN – สังเวียนชีวิตที่แพ้ไม่ได้” โครงการที่เข้าไปเปลี่ยนอนาคตทางการเงินของกลุ่มนักกีฬามวยให้ก้าวข้ามความเสี่ยงที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีต และสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
· สมาคมคนหูหนวกเผย กลุ่มคนพิการเป็นหนึ่งในเป้าหมายของมิจฉาชีพในการหลอกลงทุน เหตุเป็นกลุ่มที่เข้าถึงองค์ความรู้ที่ถูกต้องได้ยากจากข้อจำกัดในการสื่อสาร และการเรียนรู้

น.ส.วรางคณา อัครสถาพร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (XPG) เปิดเผยว่า XSpring เน้นการเติบโตของธุรกิจควบคู่ไปกับหลักความยั่งยืน โดยคำนึงถึง หลักการตอบแทนคืนให้แก่สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อให้องค์กรและสังคมเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยนอกจากการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส เป็นธรรม ดูแลผลประโยชน์ผู้มีส่วนได้เสีย และให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมโดยมีการดำเนินมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนสินเชื่อธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และเน้นลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับพลังงานสะอาด เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจสีเขียวแล้ว ในด้านสังคม XSpring ตระหนักถึงความสำคัญในการส่งต่อความรู้ความเข้าใจด้านการเงินไปสู่สังคมในวงกว้างเพื่อช่วยยกระดับการเข้าถึงเครื่องมือในการบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคลอย่างเท่าเทียม บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน และความเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษาและข้อมูลด้านการเงินการลงทุน และการป้องกันตัวเองจากการหลอกลวงด้านการเงินทุกรูปแบบ โดยในปีนี้บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย เปิดโครงการ “Because Sharing is Caring – The Unsilenced Truths เสียงไม่เงียบ เงินทองเรื่องต้องรู้” ซึ่งเป็นโครงการที่จะมาสร้างความเท่าเทียมทางด้านความรู้การเงินการลงทุน และการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุน ให้กับกลุ่มผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน ผ่านการจัดงานสัมมนา และการเผยแพร่สื่อวิดีทัศน์ความรู้ด้านการบริหารการเงินส่วนบุคคล การลงทุน และการป้องกันตนเองจากการหลอกลงทุน XSpring ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินยุคใหม่ตระหนักถึงความสำคัญในการส่งต่อความรู้ เพื่อจะช่วยให้กลุ่มผู้มีความบกพร่องทางการได้ยินสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปเป็นเกราะป้องกันภัยจากกลุ่มมิจฉาชีพ สามารถบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคล วางแผนการลงทุน และถ่ายทอดความรู้ไปสู่คนใกล้ชิดได้ โดยการจัดทำโครงการส่งต่อความรู้ทางการเงินของ XSpring นั้นได้จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องจากปี 2566 ที่ได้จัดทำโครงการ “PLAY TO WIN” ขึ้นมาเป็นครั้งแรก ภายใต้แนวคิด “PLAY TO WIN – สังเวียนชีวิตที่แพ้ไม่ได้” ซึ่งเป็นโครงการที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการให้ความรู้ทางการเงินกับกลุ่มนักกีฬามวย และบุคลากรในวงการ ให้ก้าวข้ามความเสี่ยงที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีต ให้นักกีฬาสามารถสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ซึ่งถือเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก

น.ส.อาชินี ปัทมะสุคนธ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต. ให้ความสำคัญและสนับสนุนภาคธุรกิจให้ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG มาโดยตลอด โดยกำหนดเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ผลักดันให้ตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญในการนำพาให้ประเทศไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน สนับสนุนและส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน ผ่านการให้ความรู้มาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันได้ปลูกฝังการมีจิตสาธารณะและสร้างความตระหนักให้พนักงานในองค์กรมีส่วนร่วมในการแบ่งปันความช่วยเหลือไปสู่สังคมอีกด้วย จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมครั้งนี้ และขอขอบคุณ XSpring ที่ได้ริเริ่มโครงการเป็นประโยชน์ต่อสังคม และมีส่วนช่วยให้ ก.ล.ต. มีโอกาสร่วมทำความดี ด้วยการสนับสนุนวิดีทัศน์ชุดความรู้ทางการเงิน การลงทุน นำไปแปลโดยล่ามภาษามือ เพื่อเผยแพร่ต่อไป ซึ่งจะช่วยสื่อสารให้ผู้บกพร่องทางการได้ยินสามารถเข้าถึงความรู้ทางการเงินได้ง่ายขึ้น นอกจากจะเป็นเกราะป้องกันตัวไม่ให้ตกเป็นเหยื่อจากผู้ไม่หวังดี ยังช่วยให้สามารถจัดการการเงินของตนเองได้อย่างถูกต้องเพื่อความยั่งยืนทางการเงินต่อไป


นายกีรติ โกสีย์เจริญ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานบริหารกิจกรรมเพื่อสังคม และหัวหน้ากลุ่มงานสื่อสารองค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีวิสัยทัศน์และพันธกิจสำคัญขององค์กรที่จะส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในมิติของสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลที่ดี (ESG) เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนตั้งแต่ฐานราก การส่งเสริมและสนับสนุนภาคสังคมจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินการมาอย่างยาวนาน โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มเปราะบาง มุ่งลดความเหลื่อมล้ำเพื่อสร้างความเสมอภาคทางสังคม ตลอดระยะเวลาเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา นอกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นศูนย์กลางของตลาดทุนแล้ว ยังสนับสนุนความรู้ด้านการเงินและการลงทุน (Financial Literacy) สำหรับคนไทย โดยจัดทำสื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับการวางแผนทางการเงิน ในความร่วมมือครั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สนับสนุนสื่อวิดีทัศน์ความรู้ทางการเงิน และรู้ทันภัยการเงิน เพื่อให้ XSpring นำไปจัดทำจอล่ามภาษามือ ประกอบคำบรรยายเพื่อส่งมอบให้สมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทยในการเผยแพร่ความรู้สู่ผู้มีความบกพร่องทางการได้ยินทั่วประเทศ ให้ได้ศึกษาหาความรู้ในการบริหารการเงินของตนและระวังภัยทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

นายวิทยุต บุนนาค นายกสมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่องการเงินและการลงทุนนั้นถือเป็นเรื่องใกล้ตัวสำหรับทุกคนไม่เว้นแม้แต่ผู้พิการ อย่างไรก็ดีการแสวงหาความรู้ด้านการลงทุนของผู้มีความบกพร่องทางการได้ยินนั้นมีข้อจำกัดอย่างมาก เนื่องจากสื่อด้านการลงทุนที่เอื้อให้เข้าถึงยังมีจำนวนไม่มากนัก นอกจากนี้แล้วกลุ่มผู้พิการยังเป็นอีกกลุ่มเป้าหมายของกลุ่มมิจฉาชีพในการหลอกลงทุน โดยล่าสุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ 1 มีนาคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2567 มีการแจ้งความอาชญากรรมไซเบอร์ผ่านระบบแจ้งความออนไลน์ทั้งหมด 575,507 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 65,715 ล้านบาท เฉลี่ยความเสียหายวันละกว่า 80 ล้านบาท ซึ่งมีผู้มีความบกพร่องทางการได้ยินจำนวนไม่น้อยที่ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงลงทุน เนื่องจากการขาดองค์ความรู้ และการขาดโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลการลงทุนที่ถูกต้อง

การริเริ่มโครงการ “Because Sharing is Caring – The Unsilenced Truths เสียงไม่เงียบ เงินทองเรื่องต้องรู้” ในครั้งนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างความหวังให้กับการเข้าถึงความรู้เพื่อนำไปสู่การลงทุนอย่างเท่าเทียมให้กับผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน และเชื่อว่าจะช่วยลดมูลค่าความเสียหายในการหลอกลงทุนให้กับสังคมได้ในระยะยาว

0 Shares

ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ไตรมาส 4/2567

ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ไตรมาส 4/2567

การค้าโดยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นโอกาสที่ดีต่อการขยายการส่งออกไทยเล็งเห็นว่ารัฐบาลควรสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการจีน
ร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยจีนประจำไตรมาสที่สี่ ปี 2567 ระหว่างวันที่ 15-21ส.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้ตอบการสำรวจประกอบด้วย ประธาน คณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และกรรมการหอการค้าไทยจีน ผู้บริหารและกรรมการสหพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ของหอการค้าไทยจีนอีก เป็นจำนวนทั้งหมด 485 คน ที่ตอบแบบสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นดังกล่าว

คำถามในครั้งนี้มีสองส่วนด้วยกัน ในส่วนแรกเกี่ยวข้องกับการค้าผ่านสื่อพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และในส่วนที่สองเป็นคำถามที่เกี่ยวกับสถานการณ์การค้าของไทย โอกาสความร่วมมือกับจีน และข้อเสนอแนะต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย การค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นสื่อกลางสำคัญในการเชื่อมโยงการค้าขายระหว่างผู้ค้าและลูกค้า และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของประเทศไทย ร้อยละ 43 ของผู้ตอบแบบสอบถาม คิดว่า การค้าด้วยพาณิชอิเล็กทรอนิกส์ยังไม่เป็นโอกาสต่อการส่งออกของสินค้าไทย ที่การค้าระหว่างประเทศยังไม่พึ่งพาระบบพาณิชย์อีเล็กทรอนิกส์เพราะสินค้าไทยที่ส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม และยังอาจจะเป็นเพราะสินค้าไทยอีกส่วนมาจากการรับจ้างผลิตที่มีคู่ค้าต่างประเทศอยู่แล้ว ส่วนร้อยละ 38 ให้ความเห็นว่าการค้าโดยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นโอกาสที่ดีเพราะไทยสามารถพึ่งพาการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของจีนเพื่อการส่งออกได้ เพราะเป็นโอกาสในการเข้าสู่ตลาดได้ทั้งตลาดจีนและตลาดอื่นๆในภูมิภาค เนื่องด้วยพาณิชอิเล็กทรอนิกส์เติบโตอย่างรวดเร็ว และน่าเป็นโอกาสการทำตลาดของไทยในบางสินค้า

ร้อยละ 48.5 ของผู้ตอบแบบสอบถาม เล็งเห็นว่ารัฐบาลควรสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยให้มีความร่วมมือกับผู้ประกอบการจีนในการพัฒนาโครงสร้างพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่ร้อยละ 25 ของผู้ตอบแบบสอบถาม เสนอข้อคิดเห็นว่ารัฐบาลควรพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้เป็นเจ้าของเครือข่ายพาณิชอิเล็กทรอนิกส์ของตัวเองในส่วนของการนำเข้านั้น การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์ม Temu ที่เป็นข่าวนั้น พอจะสรุปได้ว่าผู้ตอบแบบสอบถาม มีจำนวนถึงร้อยละ 85 ที่เคยได้ยิน Temu (1) จำนวนร้อยละ 39 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ที่เคยสั่งซื้อไปแล้ว โดยแบ่งเป็นร้อยละ 24 ของผู้ตอบแบบสอบถามและครอบครัว เคยสั่งซื้อแล้วและมีความประทับใจทั้งราคาและคุณภาพ แต่ก็มีร้อยละ 15 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอบว่าได้สั่งซื้อแต่ไม่ประทับใจในคุณภาพ (2) อีกส่วนหนึ่ง ร้อยละ 46 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ที่ได้รับทราบเรื่องการซื้อสินค้าผ่าน Temu แต่ยังไม่เคยสั่งซื้อ แบ่งเป็น ร้อยละ 32 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้ยินเรื่องการค้าผ่าน Temu แต่ยังไม่คิดจะสั่งซื้อ และ ร้อยละ 14 เคยได้ยินและคาดว่ากำลังจะสั่งซื้อ (3) มีเพียงส่วนน้อยร้อยละ 15 ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่เคยได้ยินการค้าผ่านเครือข่าย Temu

ในภาพรวมแล้วสรุปได้ว่า การค้าด้วยพาณิชอิเล็กทรอนิกส์มีความสำคัญสำหรับผู้ค้าชาวไทย และในระยะสั้นความร่วมมือใกล้ชิดกับจีนน่าจะผลักดันการค้าของไทยในตลาดโลกได้ นอกจากนั้นผู้ประกอบการไทยที่เป็นรายย่อยยังสามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางพาณิชอิเล็กทรอนิกส์เพื่อนำสินค้าเข้าสู่ตลาดจีนได้ในระดับมณฑล ส่วนการรุกของจีนด้วย Temu นั้น ต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด และเฝ้าระวังการทุ่มตลาด
การคาดการณ์ การประกอบธุรกิจของไทยในประเทศในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 ร้อยละ 29.8 ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าผลประกอบการของธุรกิจที่ค้าขายในประเทศในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 จะชะลอตัวลง ขณะที่ร้อยละ 25 คาดว่าจะดีขึ้น แต่เป็นที่น่าสนใจว่า ร้อยละ 20.7 ที่ให้ความคิดเห็นว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้

ส่วนการคาดการณ์การส่งออกของสินค้าไทยไปยังตลาดโลก ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 ร้อยละ 27.4 ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าผลประกอบการของธุรกิจที่ค้าขายในประเทศในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 จะชะลอตัวลง ขณะที่ร้อยละ 27.2 คาดว่าจะดีขึ้น ซึ่งมีจำนวนผู้ตอบใกล้เคียงกันมากระหว่างชะลอตัวลงและดีขึ้น แต่ยังมีร้อยละ 20.9 ที่ให้ความคิดเห็นว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้

แม้ว่าเสียงส่วนใหญ่คาดว่าธุรกิจที่ค้าขายในประเทศและการส่งออก จะชะลอตัวลงในไตรมาสที่สี่ ของปี 2567 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566 ก็มีผู้ตอบแบบสอบถามในจำนวนที่ใกล้เคียงกันคาดว่าผลประกอบการน่าจะดีขึ้น อีกทั้งยังมีอีกส่วนหนึ่งที่กล่าวว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้ สรุปได้ว่า ยังไม่สามารถฟันธง ผลประกอบการในไตรมาสที่สี่ในปีนี้โดยเปรียบเทียบกับไตรมาสสี่ปีที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน

เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์โลกในปัจจุบัน ที่จีนมีบทบาทมากขึ้นในตลาดโลก คำถามที่สำคัญคือ ความร่วมมือระหว่างไทยและจีนเพื่อการค้าในตลาดโลกจะทำอย่างไร ผู้ตอบแบบสอบถาม เสนอว่า (1) สนับสนุนให้อาเซียนกับจีนมีความร่วมมือกัน โดยให้ไทยนั้นมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเพราะไทยมีความได้เปรียบทางภูมิภาค (2) ให้ไทยและจีนร่วมมือกันในการลงทุนและผลิต เพื่อมุ่งไปสู่การส่งสินค้าอุตสาหกรรมออกไปยังกลุ่มประเทศตะวันตก

การค้าโลกในปัจจุบัน การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมซับซ้อนและมีมูลค่าเพิ่มสูง ต้องพึ่งพาห่วงโซ่การผลิตนานาชาติ กล่าวได้ว่าในการผลิตสินค้าหนึ่งต้องพึ่งพาการผลิตในหลายประเทศ ดังนั้นหุ้นส่วนทางการค้าระหว่างไทยและจีน และอาเซียนและจีนที่มีไทยเป็นจุดเชื่อมโยง จะเป็นการสร้างเสริมประโยชน์ร่วมกันหากได้จีนมาเป็นพันธมิตรทางการค้าที่ดี ทั้งนี้ควรอาศัยความสัมพันธ์ตามกรอบข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียนและจีน และกรอบข้อตกลง RCEP จะทำให้ปริมาณการค้าจะเพิ่มพูน (Trade Creation) ทั้งสินค้าทุน สินค้ากึ่งสำเร็จรูป และวัตถุดิบ สรุปได้ว่าทั้งสองประเด็นที่นำเสนอ เป็นเรื่องสำคัญ ที่ควรมีการบริหารและจัดการอย่างเร่งด่วน ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมอีกประเด็นหนึ่งคือการผลักดันสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปของไทยเข้าสู่ตลาดจีนด้วยวิธีการเจาะตลาดรายมณฑล โดยเฉพาะมณฑลในภาคกลางและภาคตะวันตกของจีนที่มีกำลังซื้อสูง

ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยที่มีโอกาสจะซบเซานั้น ผู้ตอบแบบสอบถามมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อภาครัฐ โดยให้ความสำคัญของข้อเสนอแนะ 4 ประการ ตามลำดับดังนี้ (1) สนับสนุนให้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อผลิตสินค้าต่างๆ (2) ส่งเสริมให้มีการพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเพื่อผลิตสินค้าและบริการ และการอำนวยความสะดวกทางการตลาด (3) ส่งเสริมให้มีนวัตกรรมใหม่สำหรับอุตสาหกรรมใหม่และมีการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และ (4) มาตรการลดต้นทุนทางการเงินของระบบธนาคารพาณิชย์แก่ผู้ประกอบการ

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว การค้าระหว่างประเทศไทยและจีน ช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 66,148 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 6.43% มีสัดส่วน 18.68% ของมูลค่าการค้ารวมของไทย ส่วนการส่งออกของไทยไปยังจีน มีมูลค่า 20,549 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพียง 0.30% และการนำเข้าของไทยจากจีน มีมูลค่า 44,599 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 9.52% เนื่องจากการนำเข้าสินค้าทุน ขยายตัวที่ 18.34% เช่น (1) เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และ (2) เครี่องจักรกลและส่วนประกอบ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้ากับประเทศจีน มูลค่า 24,050 ล้านเหรียญสหรัฐ

0 Shares

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ขอเชิญชวนช้อปสนุกกับสินค้าคุณภาพจากสมาชิกเครือข่าย Biz Club ทั่วประเทศ ในงาน MOC Biz Club Fair 2024 by DBD

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ขอเชิญชวนช้อปสนุกกับสินค้าคุณภาพจากสมาชิกเครือข่าย Biz Club ทั่วประเทศ ในงาน MOC Biz Club Fair 2024 by DBD

ที่จะพาคุณพบกับผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายจากทั่วทุกภูมิภาคของไทย ตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค. ถึง 2 ก.ย. 67 ณ เซ็นทรัลเวสต์เกต ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 หน้า Jaspal

#MOCBizClubFair2024 #MOC #bizclubthailand #bizshopthailand #SuperDBD #กรมพัฒนาธุรกิจการค้า #กระทรวงพาณิชย์

0 Shares