กระทรวงเกษตรฯ หนุนวิจัย ดึงพะเยาขึ้นแท่นท่องเที่ยวตลาดโลก ชูนกยูงไทยกระหึ่มทั่วโลก
“พะเยา” มี “นกยูงสายพันธุ์ไทย” เป็นทุนธรรมชาติจึงได้คิดโครงการ “ท่องเที่ยวเกษตร” ขึ้นมา ซึ่งอีกมุมมองหนึ่งคือ “พะเยา…มหานครนกยูงโลก” เบื้องต้นมีความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่สนับสนุนงบประมาณทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ หวังดึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศเที่ยว “พะเยา” เพิ่มขึ้น และจะส่งเสริมให้เกิดอาชีพใหม่ๆ ส่งเสริมการทำโฮมสเตย์ กระจายรายได้สู่ชุมชนเพิ่มขึ้น

รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา เปิดเผยว่า ”การลงพื้นที่จ.พะเยาครั้งนี้ (28-29 กพ.) เพื่อศึกษาสภาพพื้นที่จริง สืบค้นข้อมูล รับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่อำเภอจุน เป็นที่ตั้งพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ ซึ่งเป็นถิ่นอาศัย “นกยูงเขียวพันธ์ุไทย” ที่มีจำนวนมากที่สุด และเป็นทุนทางธรรมชาติที่สามารถเพิ่มศักยภาพดึงนักท่องเที่ยวจากตลาดโลกได้
ขณะเดียวกันพบอีกว่า พื้นที่อ.จุนและพื้นที่อื่นจะขาดน้ำในฤดูแล้งจะทำให้ขาดแหล่งน้ำสำหรับนกยูง ขาดความชุ่มชื้น เสี่ยงเกิดไฟป่า และเกิดความเสียหายต่อนกยูงอีกด้วย เราได้เสนอแนวคิดการสร้างฝายแกนดินซีเมนต์ การบริหารจัดการแหล่งน้ำขนาดเล็กเพื่อกัก เก็บน้ำไว้ใช้ตลอดปี
แนวทางการขับเคลื่อนเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวจ.พะเยาและการบริหารจัดการแหล่งน้ำขนาดเล็กด้วยฝายแกนดินซีเมนต์ คณะกรรมาธิการฯ จะได้มีการพบหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล กรอบแนวคิด กับ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคธุกิจเอกชน หน่วยงานราชการ องค์กรภาคประชาชน ผู้นำชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ และผนึกกำลังผลักดันให้จังหวัดพะเยาเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ทั้งของชาวไทยและของชาวโลก ในวันที่ 29 ก.พ. ซึ่งเป็นอีกเวทีหนึ่งด้วย
นายสังศิตกล่าวว่า ได้ไปที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ ต.จุน อ.จุน จ.พะเยา เพื่อศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็น เกี่ยวกับนกยูงพันธุ์ไทยในพื้นที่อนุรักษ์ ลักษณะการอยู่อาศัยตามธรรมชาติ ปริมาณ ปัญหาด้านการอนุรักษ์ และผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรของประชาชนในพื้นที่ ร่วมกับนายเสกสรรค์ มูลอินต๊ะ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ น.ส.ศศิธร นิสภา ผู้ช่วยหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ นายวราฤทธิ์ ไชยสาร หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองเล็งทราย และผู้ที่เกี่ยวข้อง มีรายละเอียดดังนี้
น.ส.ศศิธรได้ให้ข้อมูลในเบื้องต้นว่า นกยูงในโลกนี้แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ 1. นกยูงคองโก 2. นกยูงอินเดีย และ 3. นกยูงเขียว ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็นนกยูงไทยสายพันธุ์ชวา นกยูงไทยสายพันธุ์พม่า และนกยูงไทยสายพันธุ์อินโดจีน

นกยูงไทยมีถิ่นที่อยู่กระจายออกไปทั้งบริเวณลุ่มน้ำอิง ลุ่มน้ำปิง ลุ่มน้ำแม่กลอง ลุ่มน้ำห้วยขาแข้ง ลุ่มน้ำยม และลุ่มน้ำน่าน ซึ่งแต่ละที่มีจำนวนไม่เท่ากัน นกยูงจะอาศัยอยู่ตามป่าเต็งรัง พื้นที่ทางการเกษตร หรือหาดทรายริมน้ำ มีพฤติกรรมชอบอาบแดดในตอนเช้า และอาบฝุ่นในตอนบ่าย นอนบนต้นไม้ที่มีกิ่งไม้แข็งแรง
ช่วงระยะเวลาในการสืบพันธุ์คือช่วงเดือนพ.ย.- พ.ค. โดยจะทำรังตามพื้นดิน เมื่อตัวเมียฟักไข่ได้จำนวนหนึ่ง จะไม่รอฟักไข่ที่เหลือ โดยจะพาลูกออกเดินทางหากินต่อไป ซึ่งศัตรูในธรรมชาติของนกยูงคือ อีเห็น แมวดาว จิ้งจอก งู เป็นต้น
“สำหรับผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรของชาวบ้าน มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบประมาณ 12,000 ไร่ เป็นทั้งพื้นที่ปลูกข้าวนาปี ปลูกข้าวโพด ปลูกกระเทียม และปลูกมันสำปะหลัง คาดว่ามีจำนวนนกยูงอยู่ในพื้นที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ ประมาณ 4,000 – 5,000 ตัว นกยูงกินอาหารได้ค่อนข้างหลากหลาย ซึ่งนอกจากเมล็ดธัญพืชต่างๆ แล้ว ยังกินใบไม้ แมลงชนิดต่างๆ ได้อีกด้วย”
รศ.ดร.สังศิตเสนอแนวคิดว่า จ.พะเยายังมีนักท่องเที่ยวน้อยไปหน่อย และมีรายได้ที่ได้มาจากนักท่องเที่ยวโดยเฉลี่ยน้อยไปหน่อยเช่นเดียวกัน ตนมีแนวคิดคิดที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวของจ.พะเยาด้วยทุนทางธรรมชาติที่มีอยู่ นั่นคือนกยูงสายพันธุ์ไทย จึงได้คิดโครงการ ”การท่องเที่ยวเกษตร“ ซึ่งอาจจะมองได้อีกมุมหนึ่งว่าเป็น “พะเยา…มหานครนกยูงโลก” ขึ้นมา
ในเบื้องต้นได้มีความร่วมมือและได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณในการทำวิจัย เพื่อดำเนินการโครงการดังกล่าวซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยคาดหวังว่าจะกระตุ้นให้มีนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เข้ามาเที่ยวในพื้นที่จังหวัดพะเยาเพิ่มมากขึ้น และจะส่งเสริมให้เกิดอาชีพใหม่ๆ งานชนิดใหม่ๆ ส่งเสริมการทำโฮมสเตย์ โดยแบ่งห้องในบ้าน 1 ห้องมาทำโฮมสเตย์ มีกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชุมชน โดยมีเป้าหมายให้ชุมชนชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยการผลักดันให้นกยูงเป็นสัญลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งในระดับฐานรากและในระดับภาพรวมของจังหวัด โดยการใช้เครื่องมือการท่องเที่ยวชีววิถี (Bio Tourism) รวมทั้งหาช่องทางต่างๆ เพื่อให้ชาวบ้านและชุมชนมีรายได้จากการท่องเที่ยวดังกล่าว
นายวิภุช วิเศษสิงห์ ท่องเที่ยวและกีฬาจ.พะเยา กล่าวว่า สถิตินักท่องเที่ยวในจ.พะเยาเมื่อปี 2566 มีจำนวน 1,010,000 คน เป็นคนไทย 900,000 คน เป็นต่างชาติประมาณ 40,000 กว่าคน มีรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด 2,200 ล้านบาท เฉลี่ยแล้วนักท่องเที่ยว 1 คนใช้จ่ายประมาณแค่ 1,500 บาท ซึ่งนับว่าน้อยมาก จึงขอฝากให้นำประเด็นนี้ไปเป็นหัวข้อหนึ่งในการวิจัยด้วย ซึ่งทางกมธ.การแก้ปัญหาความยากจนฯ เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะนี้และยินดีนำไปเสนอแนะต่อกระทรวงเกษตรเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของการทำวิจัยด้วย
ในช่วงบ่าย คณะได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อศึกษาสถานที่จริงในข่วงนกยูง 2 จุดดังนี้
1. ข่วงนกยูง 69 บ้านร่องหาด ตำบลห้วยข้าวก่ำ อำเภอจุน จังหวัดพะเยา โดยมีนางสาวศิรินุช จันทาพูน นายอำเภอจุน นายกมล สุวรรณมาศ นายกเทศมนตรีตำบลห้วยข้าวก่ำ พร้อมคณะผู้บริหาร กำนันผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ

“บริเวณข่วงดังกล่าวเป็นพื้นที่ สปก. ของชาวบ้าน 5 รายเป็นพื้นที่ ประมาณ 43 ไร่ ซึ่งมีการปลูกพืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าวโพด ถั่วดำ มันสำปะหลัง เป็นต้น แต่เนื่องจากนกยูงที่อยู่ในป่าขาดแคลนอาหารและน้ำ จึงลงมากินผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน เพื่อเป็นการอนุรักษ์ และไม่ทำร้ายนกยูงทางเทศบาลจึงขอให้กันพื้นที่ดังกล่าว ให้นกยูงลงมาหาอาหารกินได้ โดยได้ชดเชยค่าเสียหายให้กับเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าว แต่หากเป็นระยะยาวแล้วอาจไม่สามารถทำได้ตลอดไป“
“ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวเคยมีชาวบ้านทำโฮมสเตย์ประมาณ 10 หลัง แต่ด้วยเหตุการณ์โควิด และข้อจำกัดหลายประการ ทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องในการประกอบกิจการ ซึ่งในจุดนี้ จะต้องหารูปแบบและวิธีการทำให้โฮมสเตย์มีความน่าสนใจ และมีกิจกรรมอื่นๆ นอกจากการมาพักโฮมสเตย์ เช่น การไปเที่ยวในวัดใกล้เคียง และโบราณสถานเวียงลอ เป็นต้น
น.ส. อัจพรรณ ทับทิมทอง ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวจ.เชียงราย ได้กล่าวว่า ถ้ามีการรวมกลุ่มกัน ทางศูนย์ฯ สามารถเข้ามาให้การ สนับสนุนการส่งเสริมอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวในจุดนี้ได้
2. ข่วงนกยูงบ้านกิ่วแก้ว สำนักสงฆ์พระธาตุศรีรัตนสุดาราม ต.ห้วยข้าวก่ำ อ.จุน จ.พะเยา
นายกมล สุวรรณมาส นายกเทศมนตรีตำบลห้วยข้าวก่ำ ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า ต.ห้วยข้าวก่ำมีถึง 6 หมู่บ้านที่อยู่ติดกับเขตป่า ซึ่งมีนกยูงลงมากินผลผลิตทางการเกษตร แต่ก็ได้มีการอนุรักษ์และจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับนกยูงเรื่อยมา ซึ่งทางกมธ.ฯ ได้ให้ข้อแนะนำว่า อ.จุนมีทุนทางธรรมชาติคือนกยูงสายพันธุ์ไทยที่ เป็นจุดแข็งของชุมชนซึ่งเป็นข้อดีมากอยู่แล้ว จึงใคร่ขอเรียนเชิญให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะและร่วมกันกำหนดแนวทางให้เกิดเป็นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสำหรับชุมชน
นายอำเภอจุนได้สะท้อนสภาพปัญหาว่า การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวที่ผ่านมาว่า ชาวบ้านไม่ได้รับประโยชน์ ไม่ได้มีรายได้เพิ่มจากการท่องเที่ยวดังกล่าว จึงทำให้ไม่เห็นความสำคัญ จึงควรให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการวางแผนดำเนินงานตั้งแต่ต้น นอกจากในพื้นที่จะมีข่วงนกยูงแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นที่น่าสนใจ เช่น พระธาตุหินแกง โบราณสถานเวียงลอ ปลาค้าวแม่น้ำอิง และศิลปวัฒนธรรมของคนอีสานที่อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่นี้เมื่อนานมาแล้ว
ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวอีกว่า การท่องเที่ยวแนวใหม่จะเน้นที่การกระจายรายได้ให้แก่ชุมชน อย่างเป็นธรรมและทั่วถึง เน้นการมีอาชีพ การมีงานทำ ซึ่งเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวที่คณะกรรมาธิการฯ จะให้การสนับสนุนให้เกิดขึ้น
สำหรับปัญหาใหญ่เรื่องความแห้งแล้งขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร ประเด็นดังกล่าว นายสุเมธี คำลือ นายกเทศมนตรีตำบลเชียงม่วน อ.เชียงม่วน จ.พะเยา ในฐานะที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้นำเสนอองค์ความรู้ ประสบการณ์เกี่ยวกับการ ใช้นวัตกรรมฝายชะลอน้ำแกนดินซีเมนต์ในการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำแล้งของเทศบาลตำบลเชียงม่วน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง
ประธานคณะกรรมาธิการฯ ให้ข้อคิดเห็นว่า “จ.พะเยามีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ นกยูงสายพันธุ์ไทยที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือวิถีการดำเนินชีวิตของชุมชนชาวบ้าน และอุปนิสัยใจคอของชาวบ้าน ที่ยังคงรักษาความดั้งเดิมของท้องถิ่นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นจุดแข็งและเป็นจุดที่แตกต่างจากจังหวัดต่างๆ โดยทั่วไป ความสามัคคี และมีความฝันที่อยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมของพี่น้องประชาชน องค์การบริหารส่วนจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์กรภาคประชาสังคมของจ.พะเยา จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดในการสร้างจังหวัดพะเยาให้กลายเป็น ”พะเยา : มหานครนกยุง โลก“ ด้วยมือของพวกเขากันเองได้อย่างแน่นอน”