คลังเก็บหมวดหมู่: ท่องเที่ยว

ชวนสัมผัสเมืองเสน่ห์แห่ง สงขลา กับ คนละเป็ก EP.29-30

ชวนสัมผัสเมืองเสน่ห์แห่ง สงขลา กับ คนละเป็ก EP.29-30

สถานที่ท่องเที่ยวไม่ควรพลาด เมืองท่องเที่ยวของใต้ครบจบตอบโจทย์ทุกการท่องเที่ยว

จังหวัดที่ไม่ได้มีดีแค่หาดใหญ่ สุขทันที ที่เที่ยวไทย

คนละเป็กขอพาย้อนรอยสถานที่ท่องเที่ยวในอีพีสงขลากันสักนิด เพราะที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ได้มีดีแค่หาดใหญ่ สำหรับจังหวัดสงขลานั้นก็ถือว่าเป็นอีกจังหวัดที่มีที่เที่ยวหลากหลายแนวมาก ๆ เหมาะกับคนที่กำลังมองหาแหล่งท่องเที่ยวที่ไปเพียงแค่จังหวัดเดียวแต่ได้เที่ยวครบทุกรูปแบบ จะมีที่ไหนกันบ้างมาชมกัน

Songkhla Old Town เริ่มที่จังหวัดสงขลาพี่เป็กอยากแนะนำ ย่านเมืองเก่าสงขลา อีกหนึ่งจุดเช็คอินที่ห้ามพลาดของจังหวัด ในย่านเมืองเก่าเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ทั้งร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ ร้านขนมพื้นบ้าน พื้นเมืองโบราณ ขนมไข่เต่าถ่าน รวมถึงร้านของฝากของที่ระลึกต่างๆเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของย่านเมืองเก่าสงขลา คือ ภาพวาด Street Art ที่ถือเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลเข้ามาชมความงดงามของตึกเก่าโบราณภาพวาดบนกำแพงที่ซ่อนตัวอยู่ตามแต่ละจุดของตัวเมือง สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่

The Proud Kho Yor แลนด์มาร์คใหม่ ของเกาะยอคาเฟ่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ชมวิว 360 องศา กันเลย ที่มีบริการเครื่องดื่ม ทั้งกาแฟ มัทฉะ ช็อกโก โซดา สมูทตี้ ทางร้านใช้เมล็ดกาแฟอาราบิก้าชั้นดี หอมละมุนมาก ที่พลาดไม่ได้ คือ จุดไฮไล์ของร้าน ที่สามารถชมวิวได้แบบ 360 องศา ทั้งวิวทะเล และพระอาทิตย์ตกดิน โดยเฉพาะช่วงเย็น ๆ คือสวยมากพี่เป็กขอแนะนำที่นี่เลยห้ามพลาด

สะพานติณสูลานนท์ อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของสงขลาเป็นสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา โดยเชื่อมเกาะยอ 2 ด้าน ระหว่างฝั่งบ้านน้ำกระจาย และบ้านเขาเขียว ระยะทางรวมกันเป็น 2,640 เมตร และเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเพราะตลอดริมฝั่งทั้ง 2 ข้างสะพานโดดเด่นและเต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอันสวยงามให้ผู้ที่ขับรถได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศ

เขาคูหา สถานที่ สุดunseen เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยมอย่างก้าวกระโดด ถือเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของจังหวัดสงขลาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นคนที่รักการผจญภัยนิดๆ หรือบรรดาสายถ่ายรูปเช็คอิน รับประกันว่าต้องได้รูปสวย มุมอลังการ ติดกลับไปแน่นอน

มัสยิดกลางสงขลา สุดท้ายกับมัสยิดกลางสงขลา เป็นศาสนสถานของอิสลามที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดี ทั้ง ชาวสงขลา และ สายถ่ายภาพทั้งหลาย เพราะมีลักษณะสถาปัตยกรรมที่สวยสง่างดงาม โดยด้านหน้าจะมีสระน้ำทอดยาวราว 200 เมตร ทำให้มัสยิดนี้ดูคล้ายกับทัชมาฮาลที่อินเดียเลย

0 Shares

สถานีวิจัยลำตะคอง บริการ จุดพักรถ พักผ่อน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ “8 – 14 เม.ย.

สถานีวิจัยลำตะคอง บริการ จุดพักรถ พักผ่อน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ “8 – 14 เม.ย.

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ร่วมสนับสนุนภาครัฐ รณรงค์การขับขี่ปลอดภัย ลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ และร่วมสืบสานประเพณีวัฒนธรรมของไทย ให้บริการ “พักรถ…พักผ่อน” ระหว่างวันที่ 8-14 เม.ย. ที่สถานีวิจัยลำตะคอง ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อให้บริการพี่น้องประชาชนที่สัญจรผ่านถนนมิตรภาพ ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 184 มุ่งหน้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แวะจอดพักรถ พักผ่อน ผ่อนคลายอิริยาบถจากการเดินทาง พร้อมเข้าห้องน้ำ และเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ

ทั้งนี้ สถานีวิจัยลำตะคอง วว. เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านพฤกษศาสตร์ การเกษตร การอนุรักษ์พันธุกรรมพืช และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เป็นแหล่งต้นน้ำงานวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยี นวัตกรรม สู่เกษตรกรในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของอาคารเฉลิมพระเกียรติเรือนกระจกหลังที่ 1 และหลังที่ 2 ที่รวบรวมพรรณไม้นานาชนิดและจำลองสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตพรรณไม้ ตลอดจนเป็นที่ตั้งของศูนย์อนุรักษ์แมลงเขตร้อน แหล่งเรียนรู้ทางด้านเกษตรและพฤกษศาสตร์ของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

พิกัดสถานีวิจัยลำตะคอง : https://maps.app.goo.gl/URQtGxsdWwXNkZop7
• ติดต่อ : ศึกษาดูงาน โทร. 044 390 107, 098 193 4332 (คุณเบญจมาศ)
: ค่ายวิทยาศาสตร์ โทร. 081 467 4214 (คุณศักดิ์มงคล)
: ที่พัก ห้องประชุม โทร. 087 079 3330 (คุณอรุณวรรณ)
• Facebook : สถานีวิจัยลำตะคอง

0 Shares

Airbnb เปิดตัว ไกด์บุ๊กเที่ยวกรุงเทพฯ 4 ย่านสร้างสรรค์กระตุ้นเที่ยวสงกรานต์ในไทย

Airbnb เปิดตัว ไกด์บุ๊กเที่ยวกรุงเทพฯ 4 ย่านสร้างสรรค์กระตุ้นเที่ยวสงกรานต์ในไทย

ไทยรั้งอันดับที่ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นักเดินทาง Airbnb มาเยือนมากที่สุด กรุงเทพฯ ครองอันดับเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปี 66

· ภาพรวมการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จำนวนคืนจองเข้าพักในประเทศไทยบน Airbnb ในปี 66 เพิ่มขึ้นประมาณ 60% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า

Airbnb ประกาศเปิดตัว Airbnb’s Creative Guide to Bangkok ซิตี้ไกด์บุ๊กเล่มแรกที่นำเสนอ 4 ย่านสร้างสรรค์ของกรุงเทพฯ ตลาดน้อย วังเดิม ตลาดพลู และกุฎีจีน ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านผู้สร้างเทรนด์ (tastemakers หรือ เทสต์เมกเกอร์) และเจ้าของที่พัก Airbnb ในแต่ละชุมชน สอดคล้องกับนโยบายของกรุงเทพมหานคร สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และยกระดับ Soft Power ของไทย

เนื้อหาภายใน Airbnb’s Creative Guide to Bangkok ประกอบไปด้วยข้อมูลของสถานที่แฮงเอาท์ ร้านอาหารท้องถิ่น ที่พัก แบบดั้งเดิม และสถานที่ที่ไม่ควรพลาดในแต่ละย่าน ครอบคลุมตั้งแต่สตรีทอาร์ต ตลาดท้องถิ่น ไปจนถึงเรื่องราวของสถาปัตยกรรม อาหาร และงานฝีมือของคนในท้องถิ่น ไกด์บุ๊กจัดพิมพ์ขึ้นทั้งหมด 3 ภาษา ไทย อังกฤษ และจีน โดยจะเผยแพร่ทั่วเอเชียแปซิฟิก รวมถึงประเทศที่เป็นตลาดท่องเที่ยวหลักอย่างประเทศจีนและอินเดีย เพื่อกระตุ้นท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์

ข้อมูลล่าสุดจาก Airbnb เปิดเผยว่า ประเทศไทยครองอันดับที่ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นักเดินทาง Airbnb จากทั่วโลกมาเยือนมากที่สุดในปี 2566* ด้านจำนวนคืนของการจองที่พัก (nights booked) Airbnb ในประเทศไทย เพิ่มขึ้นประมาณ 60% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยนักเดินทางจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศต้นทางที่มาเยือนไทยมากที่สุดตามด้วยจีน เยอรมนี สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้*

ด้านกรุงเทพฯ ยังคงเป็นเมืองยอดนิยมอันดับ 1 ในประเทศไทยที่มีนักเดินทาง Airbnb ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจากทั่วโลกมาเยือนมากที่สุดในปี 2566 โดยนักเดินทางแบบกลุ่มที่เดินทางมาประเทศไทยเพิ่มขึ้นเกือบ 80%เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนนักเดินทางเดี่ยวเพิ่มขึ้น 52% ในช่วงเวลาเดียวกัน

นอกจากนี้ Airbnb ยังพบสัญญาณการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากนักเดินทางชาวจีนและอินเดีย โดยประเทศไทยรั้งอันดับที่ 1 จุดหมายปลายทางนอกประเทศที่นักเดินทาง Airbnb ชาวจีนค้นหามากที่สุดในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา** ในขณะที่นักเดินทาง Airbnb ชาวอินเดียเสิร์ชหาประเทศไทยมากที่สุดในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวโฮลี (เทศกาลสาดสี) และช่วงวันหยุดยาวอีสเตอร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 200% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนหน้า

เมื่อวันที่ 27 มี.ค. ที่อาคารไปรษณีย์กลางบางรัก กทม. คุณศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า “ในนามของกรุงเทพมหานคร รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็น Airbnb นำเสนอย่านสร้างสรรค์ในกรุงเทพฯ สู่สายตานักเดินทางทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาก่อนสงกรานต์ซึ่งเป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย สำหรับกรุงเทพฯ นั้นเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มากมาย ซึ่งหลายๆ แห่งนักเดินทางอาจจะยังไม่เคยมาเยือน โดยในปี 2565 กรุงเทพมหานครได้เปิดตัวโครงการย่านสร้างสรรค์ นำร่อง 20 ย่าน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการรับรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางชุมชนที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทั่วกรุงเทพฯ โดยแต่ละย่านประกอบไปด้วยร้านอาหารและร้านค้าดั้งเดิม แกลเลอรี่ คลองและวัดวาอารามต่างๆ ที่น่าสนใจ เราหวังว่า Airbnb’s Creative Guide to Bangkok จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเดินทางอีกหลายคนได้มาสำรวจย่านสร้างสรรค์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้เชื่อมต่อกับคนในพื้นที่ และค้นพบความพิเศษหรือเสน่ห์ที่แตกต่างกันไปของย่านต่างๆ”

คุณอมันพรีท บาจาจ ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย ฮ่องกง และไต้หวัน ของ Airbnb กล่าวว่า “นักเดินทาง Airbnb แตกต่างจากนักเดินทางทั่วไป โดยจะชอบสำรวจสถานที่ใหม่ๆ และกระตือรือร้นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่ได้ไปพักและเยี่ยมเยือน ซึ่ง Airbnb’s Creative Guide to Bangkok จะทำให้นักเดินทางได้รู้จักกับเสน่ห์เฉพาะตัวของชุมชนที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ตั้งแต่ประวัติศาสตร์เก่าแก่ในย่านวังเดิม กลิ่นอายของชุมชนในย่านตลาดพลูและกุฎีจีน ไปจนถึงความหลากหลาย
ทางมรดกและวัฒนธรรมในย่านตลาดน้อย ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนโครงการของภาครัฐ เรามีความมุ่งมั่นในการสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้การท่องเที่ยว ชูความเป็นชุมชน ความคิดสร้างสรรค์ และทำให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกๆ ฝ่ายมากยิ่งขึ้น เผื่อช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นโฮมสเตย์ชั้นนำระดับโลก”

ทั้งนี้ได้มีการจัดเสวนาในหัวข้อ ‘ยุคแห่งการท่องเที่ยวกรุงเทพฯ รูปแบบใหม่ เที่ยวย่านเยือนถิ่น แหล่งศิลป์ ชุมชน’ โดยมีผู้เชี่ยวชาญและผู้มีชื่อเสียงในแวดวงชุมชนนักสร้างสรรค์และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรวมถึงกรุงเทพมหานคร (กทม.) และองค์กรยูเนสโก แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับย่านสร้างสรรค์ในกรุงเทพฯ และการฟื้นตัวของชุมชนที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักผ่านพื้นที่สร้างสรรค์ใหม่ๆ รวมถึงร่วมแบ่งปันแนวคิดว่ากรุงเทพฯ มีเอกลักษณ์ทัดเทียมในระดับโลกอย่างไร

คุณกมลรัตน์ ชยามฤต เจ้าหน้าที่ฝ่ายวัฒนธรรม ยูเนสโก สำนักงานกรุงเทพ หนึ่งในผู้เสวนากล่าวว่า “การที่กรุงเทพฯ อยู่ในฐานะสมาชิกเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก ทำให้ผู้ที่อยู่ในภาควัฒนธรรมและการสร้างสรรค์ของกรุงเทพฯได้รับการสนับสนุนให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาและกำหนดทิศทางการพัฒนาเมือง ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการร่วมมือกันของหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคสังคม นักวิชาการ นักสร้างสรรค์ และภาคเอกชนอย่าง Airbnb มีศักยภาพสูงในการสร้างบทสนทนา และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยส่งเสริมระบบนิเวศของการทำงานด้านความสร้างสรรค์และความหลากหลายทางวัฒนธรรม”

คุณศรัณย์ เย็นปัญญา นักออกแบบและผู้ก่อตั้ง 56th Studio แสดงความคิดเห็นว่า “ความสร้างสรรค์ที่ซ่อนตัวอยู่ในกรุงเทพฯ มักจะเป็นที่ที่ศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมเนียมมาบรรจบกันและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้มาเยือนได้ กรุงเทพฯ กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ชุมชนที่ซ่อนอยู่และไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนักและเคยเป็นหัวใจของกรุงเทพฯ กำลังกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่ได้เห็น Airbnb นำเสนอชุมชนเหล่านั้นในไกด์บุ๊กเล่มนี้ ผมหวังว่าจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักท่องเที่ยวหลายคนในการออกค้นหาและได้ค้นพบกับเสน่ห์ของย่านสร้างสรรค์ในประเทศไทย”

คุณวีรรัฐ ชาญสุวรรณ เจ้าของที่พักดีเด่น Airbnb เสริมว่า “ผมเป็นโฮสต์ Airbnb มาหลายปี ทำให้มีโอกาสได้แนะนำให้ผู้เข้าพักหลายคนรู้จักกับชุมชนเล็กๆ หลายแห่งในบางกอกใหญ่ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะไม่ค่อยรู้จักที่อื่นๆ นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวหลัก แต่คนที่ชอบเปิดประสบการณ์ออกนอกเส้นทางก็จะได้สัมผัสกับกรุงเทพฯ ที่มีความสร้างสรรค์และเอกลักษณ์ Airbnb’s Creative Guide to Bangkok จะช่วยให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้สำรวจอีกด้านที่แสนพิเศษของกรุงเทพฯ รวมถึงมีโอกาสได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับผู้คนในชุมชน และได้เรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าสนใจ”

สามารถดูรายละเอียดและดาวน์โหลด Airbnb’s Creative Guide to Bangkok ได้ที่ https://news.airbnb.com/th/bangkok-creative-guide-th/

0 Shares

ตื่นตา ! โชว์โดรนแปรอักษรส่งเสริมการท่องเที่ยวจ.ร้อยเอ็ด ในงาน“บุญผะเหวด“

ตื่นตา ! โชว์โดรนแปรอักษรส่งเสริมการท่องเที่ยวจ.ร้อยเอ็ด ในงาน“บุญผะเหวด“

เมื่อคืนวันที่ 15 มี.ค. สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ สมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ และจ.ร้อยเอ็ด จัดพิธีเปิดกิจกรรมการส่งเสริมการนำนวัตกรรมโดรนแปรอักษรเพื่อการท่องเที่ยว เฉลิมฉลองงานบุญสุดยิ่งใหญ่ “มหาทานบารมี ประเพณีบุญผะเหวด ร้อยเอ็ด ประจำปี 2567” โดยมีนายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธาน ร่วมด้วย นายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ นายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด และดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการวช. ที่บึงพลาญชัย จ.ร้อยเอ็ด

นายทรงพลกล่าวว่า ประเพณีบุญผะเหวด หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บุญมหาชาติจัดขึ้นในเดือนสี่ โดยมีการแสดงธรรมเทศนา ซึ่งเป็นประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อของคนอีสานโบราณว่า หากผู้ใดได้ฟังเทศน์มหาชาติครบ 13 กัณฑ์ จบภายในวันเดียว จะได้ไปเกิดในศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรย จ.ร้อยเอ็ด จึงได้จัดงานบุญผะเหวดติดต่อกันอย่างยิ่งใหญ่ในเดือนมีนาคมของทุกปี ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดมาแต่โบราณกาลจัดงานประเพณีบุญผะเหวดในปีนี้ นับเป็นปีที่พิเศษยิ่งกว่าทุกปี ที่ วช. ได้นำ นวัตกรรมโดรนแปรอักษร ส่งเสริมการสนับสนุนการท่องเที่ยวของจ.ร้อยเอ็ด

ดร.วิภารัตน์กล่าวว่า วช. ได้ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี พร้อมการนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ มาให้เกิดการใช้ประโยชน์ในหลากหลายมิติ ทั้งทางด้านคุณภาพชีวิตและสังคม พร้อมด้วยการส่งเสริมการสร้างโอกาสทางมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับพื้นที่ ทั้งนี้ วช. ได้สนับสนุนให้สมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ นำเทคโนโลยีทางด้านการบินโดรนแปรอักษรและนวัตกรรมการพัฒนาซอฟต์แวร์การสั่งงานโดรนแปรอักษร ฝีมือคนไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพในด้านการท่องเที่ยวให้กับจังหวัดร้อยเอ็ด และผลักดัน
เศรษฐกิจของจังหวัด ผ่านงานเฉลิมฉลองงานบุญ “มหาทานบารมี ประเพณีบุญผะเหวดร้อยเอ็ด ประจำปี 2567” โดยมุ่งหมายว่าในโอกาสต่อๆไป จ.ร้อยเอ็ดจะได้ตอบรับนวัตกรรมดังกล่าว ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง

นายพิศิษฐ์ มิตรเกื้อกูล นายกสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ กล่าวว่า การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยอย่างโดรน เข้ามามีส่วนช่วยส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว โดยจัดให้มีกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าปัจจุบันอากาศยานโดรนเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพมาก และมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทสำคัญในโลกอนาคต จึงเป็นโอกาสที่ดี ที่ต้องเร่งพัฒนาและเตรียมความพร้อม ในการนำโดรนมาเป็นนวัตกรรมในเชิงพัฒนาทางเศรษฐกิจให้กับพื้นที่ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว


ส่วนที่เวทีกลางลานสาเกตนคร บึงพลาญชัย จ.ร้อยเอ็ด ได้มีการแสดงบินโดรนแปรอักษร ในงาน “มหาทานบารมี ประเพณีบุญผะเหวด ร้อยเอ็ด ประจำปี 2567” โดยจัดแสดงบินโดรนแปรอักษรจำนวน 500 ลำ ประกอบด้วย
– ภาพ วปร 72 ตราพระปรมาภิไธย
พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10
– ภาพ 13 กัณฑ์ 1,000 พระคาถา
– ภาพ บุญผะเหวด 101
– ภาพ ธุงอีสาน
– ภาพ โหวด
– ภาพ พญานาค
– ภาพ เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด
– ภาพ วช. & อว.
– ภาพ RCSA Drone

พร้อมกันนี้ ได้มีการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสานร่วมสมัย จาก หมอลำศิลปินภูไท ซึ่งเป็นการสืบสาน
มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของภาคอีสาน
จะเห็นได้ว่างานมหาทานบารมี ประเพณีบุญผะเหวด จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประเพณีสืบสานถึงความเชื่อ ความศรัทธา ประเพณีสำคัญทางพระพุทธศาสนาของจ.ร้อยเอ็ด โดยสามารถติดตามข่าวสารการอบรมโดรนได้ที่ Facebook Fanpage : สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และ สมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ

0 Shares

ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด รุกเทรดโชว์ระดับโลก ITB Berlin 2024 ขยายตลาดภูมิภาคยุโรป

ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด รุกเทรดโชว์ระดับโลก ITB Berlin 2024 ขยายตลาดภูมิภาคยุโรป

ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จร่วมงาน Internationale Tourismus Borse 2024 (ITB Berlin 2024) มหกรรมส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของโลก โดยมี นายมนาเทศ อันนวัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยแลนด์พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ถวายการต้อนรับ ที่บูธ ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ในโอกาสนี้ ยังได้รับเกียรติจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมเยี่ยมชมภายในบูธจัดแสดงภายในงาน ซึ่งมีหลายหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวจากประเทศไทยเข้าร่วมงานในครั้งนี้ สำหรับงาน ITB Berlin 2024 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 มี.ค. ที่ศูนย์การจัดนิทรรศการ Messe Berlin Exhibition Ground กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยมีน.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทำพิธีเปิดคูหาประเทศไทย ITB Berlin 2024 เมื่อวันที่ 5 มี.ค.

นายมนาเทศ อันนวัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด กล่าวว่า “งาน ITB Berlin 2024 ถือเป็นงานจัดแสดงของผู้ประกอบการด้านธุรกิจท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก โดยรวบรวมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวชั้นนำจากทั่วโลกไว้ด้วยกัน ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ในฐานะผู้ให้บริการเอกสิทธิ์ทางด้านวีซ่าพำนักระยะยาวในประเทศไทย บริการสนามบิน พร้อมสิทธิประโยชน์ด้านไลฟ์สไตล์ ภายใต้การกำกับดูแลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้เข้าร่วมในงานครั้งนี้ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ของบัตรสมาชิกสำหรับชาวต่างชาติที่มีความต้องการในการย้ายถิ่นฐานหรือพำนักระยะยาวในประเทศไทย พร้อมทั้งเดินหน้าขยายตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายศักยภาพสูง สรรหาตัวแทนจำหน่าย หรือ GSSA (General Sales and Services Agent)โดยเฉพาะในตลาดยุโรป ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกจากประเทศอังกฤษ เยอรมัน และฝรั่งเศส เป็นกลุ่มลูกค้าสูงสุด 3 อันดับแรก โดยมีอัตราส่วนสมาชิก 15 %”

สำหรับการร่วมงาน ITB Berlin 2024 ที่กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในครั้งนี้เป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญของ ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ในการตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านเอกสิทธิ์ทางด้านวีซ่าพำนักระยะยาว สร้างความมั่นใจ และดึงดูดกลุ่มเป้าหมายชาวต่างชาติที่มีศักยภาพและสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ในภาพรวม ผ่านการนำเสนอบัตรสมาชิกทั้ง 4 ประเภท ได้แก่ GOLD อายุการเป็นสมาชิก 5 ปี PLATINUM อายุการเป็นสมาชิก 10 ปี DIAMOND อายุการเป็นสมาชิก 15 ปี และ RESERVE อายุการเป็นสมาชิก 20 ปี++ สำหรับการเข้าออกประเทศไทยระยะยาว และสามารถต่ออายุได้ครั้งละ 5 ปี พร้อมมอบสิทธิประโยชน์และบริการที่เหนือระดับ ตลอดระยะเวลาการพำนักในประเทศไทย โดยมีอัตราค่าสมาชิกเริ่มต้นที่ 900,000 บาท

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดของ Thailand Privilege Card ได้ทางเว็บไซต์ทางการ www.thailandprivilege.co.th สำหรับพันธมิตรที่สนใจเข้าร่วมเป็นคู่ค้ากับบริษัทฯ สามารถติดต่อได้ที่แผนกประสานเครือข่ายพันธมิตร โทร 02-353-4145, Email : vendor_relations@thailandprivilege.co.th และสำหรับผู้ที่สนใจเป็นตัวแทนจำหน่ายเพื่อร่วมเติบโตขยายธุรกิจไปยังทั่วโลก สามารถติดต่อได้ที่ แผนกบริหารตัวแทนจำหน่าย โทร 02-353-4120 , Email : salesgroup@thailandprivilege.co.th

0 Shares

กระทรวงเกษตรฯ หนุนวิจัย ดึงพะเยาขึ้นแท่นท่องเที่ยวตลาดโลก ชูนกยูงไทยกระหึ่มทั่วโลก

กระทรวงเกษตรฯ หนุนวิจัย ดึงพะเยาขึ้นแท่นท่องเที่ยวตลาดโลก ชูนกยูงไทยกระหึ่มทั่วโลก

“พะเยา” มี “นกยูงสายพันธุ์ไทย” เป็นทุนธรรมชาติจึงได้คิดโครงการ “ท่องเที่ยวเกษตร” ขึ้นมา ซึ่งอีกมุมมองหนึ่งคือ “พะเยา…มหานครนกยูงโลก” เบื้องต้นมีความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่สนับสนุนงบประมาณทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ หวังดึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศเที่ยว “พะเยา” เพิ่มขึ้น และจะส่งเสริมให้เกิดอาชีพใหม่ๆ ส่งเสริมการทำโฮมสเตย์ กระจายรายได้สู่ชุมชนเพิ่มขึ้น

รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา เปิดเผยว่า ”การลงพื้นที่จ.พะเยาครั้งนี้ (28-29 กพ.) เพื่อศึกษาสภาพพื้นที่จริง สืบค้นข้อมูล รับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่อำเภอจุน เป็นที่ตั้งพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ ซึ่งเป็นถิ่นอาศัย “นกยูงเขียวพันธ์ุไทย” ที่มีจำนวนมากที่สุด และเป็นทุนทางธรรมชาติที่สามารถเพิ่มศักยภาพดึงนักท่องเที่ยวจากตลาดโลกได้

ขณะเดียวกันพบอีกว่า พื้นที่อ.จุนและพื้นที่อื่นจะขาดน้ำในฤดูแล้งจะทำให้ขาดแหล่งน้ำสำหรับนกยูง ขาดความชุ่มชื้น เสี่ยงเกิดไฟป่า และเกิดความเสียหายต่อนกยูงอีกด้วย เราได้เสนอแนวคิดการสร้างฝายแกนดินซีเมนต์ การบริหารจัดการแหล่งน้ำขนาดเล็กเพื่อกัก เก็บน้ำไว้ใช้ตลอดปี

แนวทางการขับเคลื่อนเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวจ.พะเยาและการบริหารจัดการแหล่งน้ำขนาดเล็กด้วยฝายแกนดินซีเมนต์ คณะกรรมาธิการฯ จะได้มีการพบหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล กรอบแนวคิด กับ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคธุกิจเอกชน หน่วยงานราชการ องค์กรภาคประชาชน ผู้นำชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ และผนึกกำลังผลักดันให้จังหวัดพะเยาเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ทั้งของชาวไทยและของชาวโลก ในวันที่ 29 ก.พ. ซึ่งเป็นอีกเวทีหนึ่งด้วย

นายสังศิตกล่าวว่า ได้ไปที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ ต.จุน อ.จุน จ.พะเยา เพื่อศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็น เกี่ยวกับนกยูงพันธุ์ไทยในพื้นที่อนุรักษ์ ลักษณะการอยู่อาศัยตามธรรมชาติ ปริมาณ ปัญหาด้านการอนุรักษ์ และผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรของประชาชนในพื้นที่ ร่วมกับนายเสกสรรค์ มูลอินต๊ะ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ น.ส.ศศิธร นิสภา ผู้ช่วยหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ นายวราฤทธิ์ ไชยสาร หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองเล็งทราย และผู้ที่เกี่ยวข้อง มีรายละเอียดดังนี้

น.ส.ศศิธรได้ให้ข้อมูลในเบื้องต้นว่า นกยูงในโลกนี้แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ 1. นกยูงคองโก 2. นกยูงอินเดีย และ 3. นกยูงเขียว ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็นนกยูงไทยสายพันธุ์ชวา นกยูงไทยสายพันธุ์พม่า และนกยูงไทยสายพันธุ์อินโดจีน

นกยูงไทยมีถิ่นที่อยู่กระจายออกไปทั้งบริเวณลุ่มน้ำอิง ลุ่มน้ำปิง ลุ่มน้ำแม่กลอง ลุ่มน้ำห้วยขาแข้ง ลุ่มน้ำยม และลุ่มน้ำน่าน ซึ่งแต่ละที่มีจำนวนไม่เท่ากัน นกยูงจะอาศัยอยู่ตามป่าเต็งรัง พื้นที่ทางการเกษตร หรือหาดทรายริมน้ำ มีพฤติกรรมชอบอาบแดดในตอนเช้า และอาบฝุ่นในตอนบ่าย นอนบนต้นไม้ที่มีกิ่งไม้แข็งแรง

ช่วงระยะเวลาในการสืบพันธุ์คือช่วงเดือนพ.ย.- พ.ค. โดยจะทำรังตามพื้นดิน เมื่อตัวเมียฟักไข่ได้จำนวนหนึ่ง จะไม่รอฟักไข่ที่เหลือ โดยจะพาลูกออกเดินทางหากินต่อไป ซึ่งศัตรูในธรรมชาติของนกยูงคือ อีเห็น แมวดาว จิ้งจอก งู เป็นต้น

“สำหรับผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรของชาวบ้าน มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบประมาณ 12,000 ไร่ เป็นทั้งพื้นที่ปลูกข้าวนาปี ปลูกข้าวโพด ปลูกกระเทียม และปลูกมันสำปะหลัง คาดว่ามีจำนวนนกยูงอยู่ในพื้นที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ ประมาณ 4,000 – 5,000 ตัว นกยูงกินอาหารได้ค่อนข้างหลากหลาย ซึ่งนอกจากเมล็ดธัญพืชต่างๆ แล้ว ยังกินใบไม้ แมลงชนิดต่างๆ ได้อีกด้วย”

รศ.ดร.สังศิตเสนอแนวคิดว่า จ.พะเยายังมีนักท่องเที่ยวน้อยไปหน่อย และมีรายได้ที่ได้มาจากนักท่องเที่ยวโดยเฉลี่ยน้อยไปหน่อยเช่นเดียวกัน ตนมีแนวคิดคิดที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวของจ.พะเยาด้วยทุนทางธรรมชาติที่มีอยู่ นั่นคือนกยูงสายพันธุ์ไทย จึงได้คิดโครงการ ”การท่องเที่ยวเกษตร“ ซึ่งอาจจะมองได้อีกมุมหนึ่งว่าเป็น “พะเยา…มหานครนกยูงโลก” ขึ้นมา

ในเบื้องต้นได้มีความร่วมมือและได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณในการทำวิจัย เพื่อดำเนินการโครงการดังกล่าวซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยคาดหวังว่าจะกระตุ้นให้มีนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เข้ามาเที่ยวในพื้นที่จังหวัดพะเยาเพิ่มมากขึ้น และจะส่งเสริมให้เกิดอาชีพใหม่ๆ งานชนิดใหม่ๆ ส่งเสริมการทำโฮมสเตย์ โดยแบ่งห้องในบ้าน 1 ห้องมาทำโฮมสเตย์ มีกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชุมชน โดยมีเป้าหมายให้ชุมชนชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยการผลักดันให้นกยูงเป็นสัญลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งในระดับฐานรากและในระดับภาพรวมของจังหวัด โดยการใช้เครื่องมือการท่องเที่ยวชีววิถี (Bio Tourism) รวมทั้งหาช่องทางต่างๆ เพื่อให้ชาวบ้านและชุมชนมีรายได้จากการท่องเที่ยวดังกล่าว

นายวิภุช วิเศษสิงห์ ท่องเที่ยวและกีฬาจ.พะเยา กล่าวว่า สถิตินักท่องเที่ยวในจ.พะเยาเมื่อปี 2566 มีจำนวน 1,010,000 คน เป็นคนไทย 900,000 คน เป็นต่างชาติประมาณ 40,000 กว่าคน มีรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด 2,200 ล้านบาท เฉลี่ยแล้วนักท่องเที่ยว 1 คนใช้จ่ายประมาณแค่ 1,500 บาท ซึ่งนับว่าน้อยมาก จึงขอฝากให้นำประเด็นนี้ไปเป็นหัวข้อหนึ่งในการวิจัยด้วย ซึ่งทางกมธ.การแก้ปัญหาความยากจนฯ เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะนี้และยินดีนำไปเสนอแนะต่อกระทรวงเกษตรเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของการทำวิจัยด้วย

ในช่วงบ่าย คณะได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อศึกษาสถานที่จริงในข่วงนกยูง 2 จุดดังนี้

1. ข่วงนกยูง 69 บ้านร่องหาด ตำบลห้วยข้าวก่ำ อำเภอจุน จังหวัดพะเยา โดยมีนางสาวศิรินุช จันทาพูน นายอำเภอจุน นายกมล สุวรรณมาศ นายกเทศมนตรีตำบลห้วยข้าวก่ำ พร้อมคณะผู้บริหาร กำนันผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ

“บริเวณข่วงดังกล่าวเป็นพื้นที่ สปก. ของชาวบ้าน 5 รายเป็นพื้นที่ ประมาณ 43 ไร่ ซึ่งมีการปลูกพืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าวโพด ถั่วดำ มันสำปะหลัง เป็นต้น แต่เนื่องจากนกยูงที่อยู่ในป่าขาดแคลนอาหารและน้ำ จึงลงมากินผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน เพื่อเป็นการอนุรักษ์ และไม่ทำร้ายนกยูงทางเทศบาลจึงขอให้กันพื้นที่ดังกล่าว ให้นกยูงลงมาหาอาหารกินได้ โดยได้ชดเชยค่าเสียหายให้กับเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าว แต่หากเป็นระยะยาวแล้วอาจไม่สามารถทำได้ตลอดไป“

“ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวเคยมีชาวบ้านทำโฮมสเตย์ประมาณ 10 หลัง แต่ด้วยเหตุการณ์โควิด และข้อจำกัดหลายประการ ทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องในการประกอบกิจการ ซึ่งในจุดนี้ จะต้องหารูปแบบและวิธีการทำให้โฮมสเตย์มีความน่าสนใจ และมีกิจกรรมอื่นๆ นอกจากการมาพักโฮมสเตย์ เช่น การไปเที่ยวในวัดใกล้เคียง และโบราณสถานเวียงลอ เป็นต้น

น.ส. อัจพรรณ ทับทิมทอง ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวจ.เชียงราย ได้กล่าวว่า ถ้ามีการรวมกลุ่มกัน ทางศูนย์ฯ สามารถเข้ามาให้การ สนับสนุนการส่งเสริมอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวในจุดนี้ได้

2. ข่วงนกยูงบ้านกิ่วแก้ว สำนักสงฆ์พระธาตุศรีรัตนสุดาราม ต.ห้วยข้าวก่ำ อ.จุน จ.พะเยา

นายกมล สุวรรณมาส นายกเทศมนตรีตำบลห้วยข้าวก่ำ ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า ต.ห้วยข้าวก่ำมีถึง 6 หมู่บ้านที่อยู่ติดกับเขตป่า ซึ่งมีนกยูงลงมากินผลผลิตทางการเกษตร แต่ก็ได้มีการอนุรักษ์และจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับนกยูงเรื่อยมา ซึ่งทางกมธ.ฯ ได้ให้ข้อแนะนำว่า อ.จุนมีทุนทางธรรมชาติคือนกยูงสายพันธุ์ไทยที่ เป็นจุดแข็งของชุมชนซึ่งเป็นข้อดีมากอยู่แล้ว จึงใคร่ขอเรียนเชิญให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะและร่วมกันกำหนดแนวทางให้เกิดเป็นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสำหรับชุมชน

นายอำเภอจุนได้สะท้อนสภาพปัญหาว่า การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวที่ผ่านมาว่า ชาวบ้านไม่ได้รับประโยชน์ ไม่ได้มีรายได้เพิ่มจากการท่องเที่ยวดังกล่าว จึงทำให้ไม่เห็นความสำคัญ จึงควรให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการวางแผนดำเนินงานตั้งแต่ต้น นอกจากในพื้นที่จะมีข่วงนกยูงแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นที่น่าสนใจ เช่น พระธาตุหินแกง โบราณสถานเวียงลอ ปลาค้าวแม่น้ำอิง และศิลปวัฒนธรรมของคนอีสานที่อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่นี้เมื่อนานมาแล้ว

ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวอีกว่า การท่องเที่ยวแนวใหม่จะเน้นที่การกระจายรายได้ให้แก่ชุมชน อย่างเป็นธรรมและทั่วถึง เน้นการมีอาชีพ การมีงานทำ ซึ่งเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวที่คณะกรรมาธิการฯ จะให้การสนับสนุนให้เกิดขึ้น

สำหรับปัญหาใหญ่เรื่องความแห้งแล้งขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร ประเด็นดังกล่าว นายสุเมธี คำลือ นายกเทศมนตรีตำบลเชียงม่วน อ.เชียงม่วน จ.พะเยา ในฐานะที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้นำเสนอองค์ความรู้ ประสบการณ์เกี่ยวกับการ ใช้นวัตกรรมฝายชะลอน้ำแกนดินซีเมนต์ในการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำแล้งของเทศบาลตำบลเชียงม่วน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง

ประธานคณะกรรมาธิการฯ ให้ข้อคิดเห็นว่า “จ.พะเยามีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ นกยูงสายพันธุ์ไทยที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือวิถีการดำเนินชีวิตของชุมชนชาวบ้าน และอุปนิสัยใจคอของชาวบ้าน ที่ยังคงรักษาความดั้งเดิมของท้องถิ่นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นจุดแข็งและเป็นจุดที่แตกต่างจากจังหวัดต่างๆ โดยทั่วไป ความสามัคคี และมีความฝันที่อยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมของพี่น้องประชาชน องค์การบริหารส่วนจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์กรภาคประชาสังคมของจ.พะเยา จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดในการสร้างจังหวัดพะเยาให้กลายเป็น ”พะเยา : มหานครนกยุง โลก“ ด้วยมือของพวกเขากันเองได้อย่างแน่นอน”

0 Shares

วว. หนุน Soft Power โชว์ผลงานรับรองแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมการท่องเที่ยวไทย ตามมาตรฐานสากลกว่า 200 แห่ง เชิญชวนผู้ประกอบการเข้ารับการตรวจประเมิน

วว. หนุน Soft Power โชว์ผลงานรับรองแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมการท่องเที่ยวไทย ตามมาตรฐานสากลกว่า 200 แห่ง เชิญชวนผู้ประกอบการเข้ารับการตรวจประเมิน

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โดย สำนักรับรองระบบคุณภาพ (สรร. ) ในฐานะหน่วยรับรองมาตรฐานระบบบริหารคุณภาพและหน่วยรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์และบริการ ดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและนโยบาย นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. “วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ” โดยเฉพาะการเป็นหน่วยรับรองแห่งเดียวในประเทศไทยในขอบข่ายมาตรฐานคุณภาพแหล่องท่องเที่ยว ที่ได้รับการรับรองระบบงาน ISO/IEC 17065 และได้รับการยอมรับจาก กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อตรวจประเมินมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวและมาตรฐานกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อการรับรองตามมาตรฐานท่องเที่ยวไทยจำนวนกว่า 200 แห่ง อาทิ กิจกรรมปีนหน้าผาจำลอง ที่ไคลมบ์ เซ็นทรัล แบงค็อค กรุงเทพ กิจกรรมการพายแคนู คายัค ที่ล่องแก่งหนานมดแดง พัทลุง ลานกางเต้นท์ ที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย หาดไม้งาม อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ พังงา ทะเลในเกาะแม่เกาะ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง อุดรธานี เป็นต้น


ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับใบรับรองมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวหรือมาตรฐานกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยว ของ กรมการท่องเที่ยว จาก สำนักรับรองระบบคุณภาพ วว. จะได้ใบรับรองมาตรฐาน รวมถึงการได้รับสิทธิ์ในการใช้เครื่องหมายช้างชูงวงเริงร่าจาก กรมการท่องเที่ยว ควบคู่กันด้วย
“มาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวและมาตรฐานกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยว เป็นมาตรฐานที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาด้านบริการสำหรับแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยวให้ยั่งยืน วว. ภาคภูมิใจที่ได้ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผ่านระบบมาตรฐานคุณภาพสากล ซึ่ง วว. มีความเชี่ยวชาญให้การรับรอง ตลอดจนมีการถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งยังเป็นการสนองนโยบาย Soft power ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยอีกทางหนึ่งด้วย“ ผู้ว่าการ วว. กล่าว
สำหรับประโยชน์ที่ผู้ประกอบการได้รับจากการนำมาตรฐานไปประยุกต์ใช้นั้น จะมีนัยสำคัญที่เพียงพอต่อการพัฒนาศักยภาพ ซึ่งครอบคลุมในการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องโดยทั่วไปทั้งสิ้น 4 ด้าน ได้แก่
1) ด้านการบริหารจัดการ เพื่อให้แหล่งท่องเที่ยวหรือกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยวได้ถูกจัดทำหรือดำเนินงานอย่างเหมาะสม เช่น การจัดการโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค การจัดการด้านอัตรากำลังและพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว เป็นต้น
2) ด้านความปลอดภัย โดยมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวและมาตรฐานกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยว จะเน้นด้านการจัดการในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและการจัดกิจกรรม เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัยหรือเพื่อการตัดสินใจในการร่วมกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยว เช่น การเตรียมแผนและฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุ การจัดเตรียมหรือประเมินความเสี่ยงในพื้นที่เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ หรือการจัดเตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือด้านการปฐมพยาบาล การกู้ชีพ กู้ภัยที่เหมาะสมกับพื้นที่หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

3) การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เป็นการบริหารจัดการการท่องเที่ยวตามมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวและมาตรฐานกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยว ที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการท่องเที่ยว เช่น การจัดการขยะมูลฝอยจากการท่องเที่ยว การจัดการน้ำเสียที่เกิดจากการท่องเที่ยว เป็นต้น
4) การมีส่วนร่วมของชุมชน มาตรฐานได้เล็งเห็นความสำคัญในแหล่งท่องเที่ยวหรือกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยวที่มีผลประโยชน์สู่ชุมชนที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การมีรายได้ของชุมชนจากการท่องเที่ยวและการสร้างองค์ความรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติให้ชุมชน เป็นต้น
ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวสนใจใช้บริการจาก วว. ติดต่อขอรับบริการผ่านแพลตฟอร์มระบบบริการลูกค้าออนไลน์ “วว. JUMP” www.tistr.or.th (https://tistrservices.tistr.or.th/) หรือติดต่อได้ที่ Call center โทร. 0 2577 9000 กด 1

0 Shares

วธ.ร่วมกับเครือข่ายวัฒนธรรม เปิดถนนสายวัฒนธรรม ตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

​ วธ.ร่วมกับเครือข่ายวัฒนธรรม เปิดถนนสายวัฒนธรรมตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) โดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม(สวธ.) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายทางวัฒนธรรม
จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดถนนสายวัฒนธรรม ตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวยามค่ำคืน ผ่านเสน่ห์ด้านประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีน.ส.วราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีสวธ. เป็นประธานเปิดงาน โอกาสนี้ นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒนา ประธานตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต นางจุรีพร ขันตี วัฒนธรรมจ.พระนครศรีอยุธยา นางปิยาภรณ์ แสนโกศิก ผู้จัดการ บริษัท ทีพีเอ็น โกลบอล จำกัด พร้อมด้วยผู้เข้าร่วมประกวดนางสาวไทย ประจำปี 2567 จำนวน 34 สาวงาม ที่มาเก็บตัวที่จ.พระนครศรีอยุธยา หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชนตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต ร่วมงาน ที่ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา

เมื่อวันที่ 11 ก.พ. เวลา 19.30 น. นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว. วธ. มอบหมายให้สวธ. โดยน.ส.วราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีสวธ. เป็นประธานเปิดถนนสายวัฒนธรรม ตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต กล่าวว่า ถนนสายวัฒนธรรม เป็นหนึ่งในงานเชิงรูปธรรม ที่ส่งเสริมการสร้างมูลค่า ให้กับทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน ทั้งแบบดั้งเดิม และแบบที่ได้ปรับประยุกต์ ในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์แล้ว ด้วยการเปิดพื้นที่ ให้ผู้มาเยือน ได้สัมผัสวัฒนธรรมพื้นถิ่นและเกิดการจับจ่ายใช้สอย สร้างรายได้ ให้กับคนในชุมชนซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย “วัฒนธรรมนำเศรษฐกิจ”ของกระทรวงวธ. ในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ให้กับประเทศไทย ให้วัฒนธรรมไทยกลายเป็น soft power สร้างเสน่ห์วิถีไทย ให้ครองใจคนทั้งโลก ตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต เป็นถนนสายวัฒนธรรมที่มีศักยภาพสูง เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่มีความงดงาม ในยามค่ำคืน โดยมีการจำลองบรรยากาศการค้าขาย ในสมัยโบราณ ของเมืองกรุงเก่า ใกล้กรุงเทพมหานคร เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก


ดังนั้น กระทรวงวธ. โดยสวธ. พร้อมสนับสนุน ในการดำเนินกิจกรรมของตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ ทุกระดับ ทุกช่องทาง ในวงกว้างแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
ในนามกระทรวงวธ. ขอขอบคุณ หน่วยงาน องค์กร ทุกภาคส่วน ที่ให้ความสำคัญ และผลักดัน ในการขับเคลื่อนงานวัฒนธรรม ในพื้นที่ ทุกมิติ จนประสบผลสำเร็จ เป็นอย่างดี ขอชื่นชม และขอขอบคุณ ท่านผู้นำผู้ขับเคลื่อน ตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต และเครือข่ายทุกท่าน ที่ได้ร่วมแรง ร่วมใจในการขับเคลื่อนตลาด จนประสบผลสำเร็จ มีผลงาน เป็นที่ประจักษ์ สุดท้ายนี้ ขอเป็นกำลังใจ ให้ทุกท่าน ในการผนึกกำลังร่วมกัน พัฒนาตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและมีความยั่งยืนตลอดไป
รองอธิบดี สวธ.กล่าวว่า ตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต พ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่แต่งกายด้วยชุดไทย เหมือนได้ย้อนเวลากลับสู่อดีตสมัยกรุงศรีอยุธยา อากาศก็เย็นสบายๆ อาหารการกินก็เยอะมากๆ ทั้งก๋วยเตี๋ยวเรือ กุ้งแม่น้ำเผา ข้าวคลุกกะปิ ข้าวไข่เจียว ขนมจีนน้ำยา ข้าวห่อใบบัว ผัดไท แหนมปลากราย และยังมีขนมไทยหากินได้ยาก อย่างทองม้วนสด ขนมฝักบัว กระไอติมตัด ขนมไหมฟ้า ขนมดอกจอก มะตูมเชื่อม และน้ำตาลสด หากแวะชิมทุกร้านรับรองมีพุงแตกแน่ๆนอกจากของกินยังมีร้านชุดไทย ร้านต้นไม้ และร้านของเล่นสมัยเด็กๆ หาดูได้ยากมาให้เลือกซื้อเลือกหาอีกด้วย และมุมถ่ายรูปสวยๆที่มีวิวด้านหลังเป็นวัดราชบูรณะยามค่ำคืนงดงามยิ่งนัก
เอกลักษณ์ตลาดแห่งนี้คือ การใชโคมไฟจากสุ่มไก่ที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ คือไม้ไผ่ในชุมชนโดยฝีมือชาวบ้านในพื้นที่มาประดับตกแต่งสถานที่กว่า 1,000 ใบ มีทั้งขนาด เล็ก กลาง ใหญ่ แขวนไว้ตามต้นไม้ และบริเวณร้านค้า สวยงามแปลกตา สำหรับสายที่ชอบถ่ายรูปลงโซเชี่ยล ต้องถูกใจแน่นอน เปิดบริการในวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 16.00-22.00 น. นับเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องปักหมุดไว้แล้วแวะไปเช็คอินสักครั้งเพราะไม่ไกลจากกรุงเทพฯ

#ถนนสายวัฒนธรรม #ตลาดวัฒนธรรม #กรมส่งเสริมวัฒนธรรม #กระทรวงวัฒนธรรม #ตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต
#อยุธยา

0 Shares

วธ.ร่วมกับเครือข่าย เปิดถนนสายวัฒนธรรม ตลาดหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน


วธ.ร่วมกับเครือข่าย เปิดถนนสายวัฒนธรรม ตลาดหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก
กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

เมื่อเวลา 19.15 น. วันที่ 9 ก.พ. มีพิธีเปิดถนนสายวัฒนธรรม ตลาดหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่อยุธยา มีน.ส.วราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม(สวธ.) นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒนา ประธานมูลนิธิหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่อยุธยา ให้การต้อนรับ หัวหน้าส่วนราชการ เครือข่ายวัฒนธรรมจ.พระนครศรีอยุธยา ผู้นำชุมชนตลาดหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่อยุธยา นักท่องเที่ยวและประชาชน ร่วมพิธีเปิด โดยมีกิจกรรมเปิดตัวผู้เข้าประกวดนางสาวไทย ประจำปี 2567 ร่วมรำวงกับผู้เข้าประกวดฯ เยี่ยมชมสินค้า ผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม ชมและชิมอาหารขนมขึ้นชื่อในตลาดหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ ณ พุทธอุทยานมหาราช อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา

น.ส.วราพรรณกล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมสวธ. จัดกิจกรรมถนนสายวัฒนธรรมเพื่อเป็นการส่งเสริม สร้างมูลค่าให้กับทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน ทั้งแบบดั้งเดิมและที่ได้ประยุกต์ในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ด้วยการเปิดพื้นที่ให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสวัฒนธรรมพื้นถิ่น เกิดการจับจ่ายใช้สอย สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย “วัฒนธรรมนำเศรษฐกิจ” ของกระทรวงวัฒนธรรม ในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย ตามนโยบายของนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในการชูวัฒนธรรมไทยให้เป็น soft power สร้างเสน่ห์วิถีไทย ให้ครองใจคนทั้งโลก

“ภาพตลาดหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่อยุธยา ที่ทุกท่านเห็นในวันนี้ ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เป็นถนนสายวัฒนธรรมที่มีศักยภาพสูง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามของเมืองกรุงเก่า ท่ามกลางพุทธอุทยานมหาราช หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ ที่มีความโดดเด่น สง่างาม ตกแต่งบรรยากาศแบบย้อนยุค ใกล้กรุงเทพมหานคร เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมสนับสนุนในการดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมตลาดหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่อยุธยา และผนึกกำลังกับภาคีเครือข่าย ร่วมกันพัฒนาตลาดหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่อยุธยา เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและมีความยั่งยืนตลอดไป” น.ส.วราพรรณ กล่าว

ด้าน นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒนา ประธานมูลนิธิหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่อยุธยา กล่าวว่า จุดเด่นของถนนสายวัฒนธรรม ตลาดหลวงปู่ทวดนี้ นอกจากจะได้เข้านมัสการหลวงปู่ทวด องค์ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อเสริมสิริมงคลให้ชีวิตแล้ว ยังมีตลาดที่มีสินค้าหลากหลายให้นักท่องเที่ยวได้เดินเที่ยวชมและช๊อป มีทั้งของกินของฝากเรียงรายตลอดทางเดินไปสักการะหลวงปู่ทวด ไม่ว่าจะเป็นอาหารหลัก อาหารคาว อาหารว่าง ขนมไทยโบราณ เครื่องดื่มสมุนไพรไทย พร้อมสินค้าโอท็อปมากมาย รวมถึงมีร้านกาแฟริมน้ำบรรยากาศดี ๆ ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ อีกด้วย ท่านที่ยังไม่เคยขอเชิญให้มาเที่ยวชมกันได้ทุกวัน

โอกาสนี้ สวธ.ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจพาครอบครัวมาเที่ยวพักผ่อน ถนนสายวัฒนธรรม ตลาดหลวงปู่ทวด ได้ทั้งวันธรรมดาและวันหยุด เปิดบริการตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. ที่พุทธอุทยานมหาราช วัดวชิรธรรมาราม ถนนสายเอเชีย กม. 44 (ฝั่งขาออก)

#ถนนสายวัฒนธรรม #ตลาดวัฒนธรรม #กรมส่งเสริมวัฒนธรรม #ตลาดหลวงปู่ทวด #พุทธอุทยานมหาราช #อยุธยา

0 Shares

วธ.และเครือข่ายวัฒนธรรม เปิดตัว ตลาดเก่าหัวตะเข้ สัมผัสบรรยากาศริมน้ำ บ้านไม้โบราณ หนุนแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

​ วธ.และเครือข่ายวัฒนธรรม เปิดตัว ตลาดเก่าหัวตะเข้ สัมผัสบรรยากาศริมน้ำ บ้านไม้โบราณ หนุนแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ที่โรงเรียนศึกษาพัฒนา เขตลาดกระบัง นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) มอบหมายให้นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม(สวธ.) เป็นประธานพิธีเปิดตัวตลาดบกสืบสานวัฒนธรรมไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยมี น.ส.วราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมสวธ. น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ประธานสภาวัฒนธรรมเขตลาดกระบัง ผู้บริหารกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้บริหารส่วนราชการ รองประธานสภาวัฒนธรรมเขตลาดกระบัง คณะผู้ทรงคุณวุฒิโครงการพัฒนาชุมชนวัฒนธรรมเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ฯ และผู้แทนตลาดเก่าหัวตะเข้ นักท่องเที่ยวและประชาชน ร่วมพิธีเปิด โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย การแสดงศิลปวัฒนธรรม พิธีมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้สนับสนุนการขับเคลื่อนตลาดบก ได้แก่ ผู้แทนสำนักงานเขตลดกระบังและผู้แทนสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง เยี่ยมชมการสาธิตภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม และชม ชิมอาหารและขนมขึ้นชื่อ สัมผัสวิถีชุมชนริมคลอง ที่ตลาดเก่าหัวตะเข้ เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร

นายโกวิทกล่าวว่า กระทรวงวธ. และกรมสวธ. มีเป้าหมายและพันธกิจ สำคัญในการเทิดทูน สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มุ่งขับเคลื่อนเพื่อปรับบทบาทสู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ สร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบเศรษฐกิจฐานราก จึงได้ดำเนินโครงการสร้างเสริมเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยทุนทางวัฒนธรรม ส่งเสริมอัตลักษณ์วิถีชุมชน สู่เส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ด้วยการพัฒนาตลาดบก และจัดพิธีเปิดตัว 10 ตลาดบก 6 ตลาดน้ำ สืบสานวัฒนธรรมไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ขึ้น เพื่อส่งเสริมให้เกิดการกระตุ้น เศรษฐกิจสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับประชาชนจากการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมสนับสนุน ขยายช่องทางตลาด ประชาสัมพันธ์ให้เกิดการรับรู้ในวงกว้าง ให้ตลาดเก่าหัวตะเข้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่ทุกคนปักหมุดท่องเที่ยวในประเทศไทย

อธิบดี สวธ.กล่าวต่อว่า สํานักงานปลัดกระทรวงวธ. ร่วมกับ กรมสวธ. ได้ดำเนินโครงการ “การส่งเสริมอัตลักษณ์ชุมชน อัตลักษณ์ไทยสู่เส้นทางท่องเที่ยว ทางวัฒนธรรม : 10 ตลาดบก 6 ตลาดน้ำ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยคัดเลือกตลาดบก และตลาดน้ำ ที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมในการพัฒนาเป็นตลาดสืบสานวัฒนธรรมไทย เพื่อส่งเสริมให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชนจากการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ โดยตลาดเก่าหัวตะเข้ เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 10 ตลาดบกสืบสานวัฒนธรรมไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

ดังนั้น สวธ.จึงได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพชุมชน ให้พร้อมต่อการบริหารจัดการชุมชนและบริหารจัดการมรดกภูมิปัญญาที่มีอยู่ นำเสนออัตลักษณ์ของชุมชนให้สอดรับกับความต้องการของนักท่องเที่ยว และสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของการท่องเที่ยวโดยชุมชนและองค์กรเครือข่าย ในการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ การบริการ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การบริหารจัดการองค์กร และแหล่งท่องเที่ยวในชุมชน ตามความเหมาะสมของบริบทพื้นที่ โดยนำอัตลักษณ์และมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นของชุมชน มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม อาทิ ศิลปะบนกำแพง นิทรรศการระหัดวิดน้ำ นิทรรศการศิลปะกับสายน้ำและกิจกรรมสาธิตภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมการเล่นไทย ภายใต้แนวคิด “โรงเรียน โรงเล่น” และการจัดงานในครั้งนี้เป็นการนำเสนอผลสัมฤทธิ์ ที่คณะทำงานได้นำองค์ความรู้ จากการประชุมเชิงปฏิบัติการดังกล่าวมาพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวของชุมชน

ด้านน.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ประธานสภาวัฒนธรรมเขตลาดกระบัง กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดเก่าหัวตะเข้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ที่มีบรรยากาศสงบเงียบ เป็นตลาดไม้เก่าริมคลองและมีกิจกรรมทางศิลปะ วัฒนธรรมถิ่น เป็นตัวขับเคลื่อน สร้างการเรียนรู้ รับรู้ของในกลุ่มคนที่มาเยือน โดยเฉพาะเป็นแหล่งเรียนรู้ของสถาบันการศึกษาที่หลากหลาย และในปี 2566 ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 10 ของตลาดบก สืบสานวัฒนธรรม สนับสนุนการทำงานของวิสาหกิจชุมชนคนรักหัวตะเข้ ที่พยายามสืบทอดรักษาภูมิปัญญาดั้งเดิม เช่น การต่อเรือจิ๋ว ขนมไทยเตาฟืน ว่าวไทย และต่อยอดมาเป็นการเล่นในอดีตที่เรียบง่าย สามารถร่วมกิจกรรมได้ทุกกลุ่ม ทุกเพศทุกวัย และเป็นการท่องเที่ยวแบบโหยหาอดีต (Nostalgia) ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน สามารถดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติให้มาสัมผัสวิถีชุมชนริมคลองแห่งนี้ ทำให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจภายในชุมชนท้องถิ่นเขตลาดกระบัง

โอกาสนี้ สวธ.ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจพาครอบครัวมาพักผ่อนในวันหยุด สามารถแวะเชคอิน ย้อนวันวานกับบรรยากาศริมน้ำ ภายในตลาดมีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเรียนรู้มากมาย อาทิ ศูนย์เรียนรู้บ้านต้นมะขาม ศิลปะบนกำแพง “วิถีชุมชน บนกำแพง”คาเฟ่สี่แยกหัวตะเข้ ศูนย์การเรียนรู้วิถีถิ่นหัวตะเข้ สถานที่บอกเล่าเรื่องราวของตลาด บ้านสามครู บ้านที่อาจารย์วิทยาลัยช่างศิลป์ลงขันลงแรงร่วมสร้างสรรค์ขึ้นมาในชุมชน ที่มีการจัดแสดงานศิลปะหมุนเวียน ร้านเอเฟรม แหล่งขายอุปกรณ์ศิลปะ ปิดท้ายกับกิจกรรมพายเรือเก็บขยะกับแมวริมคลองที่โด่งดังอีกด้วย เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 – 17.00 น.

0 Shares